พระคาถาธารณปริตร
น้อมรำลึกถึงพระปัญญาธิคุณ พระเมตตาธิคุณ พระมหากรุณาธิคุณ แห่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ โดยกล่าวคำนอบน้อมนมัสการคือ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ๓ จบ
๑. พุทธานัง ชิวิตตัสสะ นะ สักกา เกนะจิ อันตะราโย กาตุง ตถา เม โหตุ อตีตัง เส พุทธัสสะ ภะคะวะโต อัปปฏิหะตะญาณัง อนาคตัง เส พุทธัสสะ ภะคะวะโต อัปปฏิหะตะญาณัง ปัจจุปันนัง เส พุทธัสสะ ภะคะวะโต อัปปฏิหะตะญาณัง
๒. อิเมหิ ตีหิ ธัเมหิ สะมันนาคะตัสสะ พุทธัสสะ ภะคะวะโต สัพพัง กายะกัมมัง ญาณะปุพพังคะมัง ญาณานุปริวัตตัง สัพพัง วจีกัมมัง ญาณะปุพพังคะมัง ญาณานุปริวัตตัง สัพพัง มะโนกัมมัง ญาณะปุพพังคะมัง ญาณานุปริวัตตัง
๓. อิเมหิ ฉะหิ ธัมเมหิ สะมันนาคะตัสสะ พุทธัสสะ ภะคะวะโต นัตถิ ฉันทัสสะ หานิ นัตถิ ธัมมะเทสนายะ หานิ นัตถิ วิริยัสสะ หานิ นัตถิ วิปัสสะนายะ หานิ นัตถิ สมาธิธัสสะ หานิ นัตถิ วิมุตติยา หานิ
๔. อิเมหิ ทะวาทะสะหิ ธัมเมหิ สะมันนาคะตัสสะ พุทธัสสะ ภะคะวะโต นัตถิ ทะวา นัตถิ ระวา นัตถิ อัปผุฏฏัง นัตถิ เวคายิตัตตัง นัตถิ พะยาวะฏะมะโน นัตถิ อัปปฏิสังขารุเปกขา
๕. อิเมหิ อัฏฐาระสะหิ ธัมเมหิ สะมันนาคะตัสสะ พุทธัสสะ ภะคะวะโต นะโม สัตตันนังสัมมาสัมพุทธัง นัตถิ ตะถาคะตัสสะ กายะทุจริตตัง นัตถิ ตะถาคะตัสสะ วจีทุจริตตัง นัตถิ ตะถาคะตัสสะ มโนทุจริตตัง นัตถิ อตีตัง เส พุทธัสสะ ภะคะวะโต ปะฏิหะตะญาณัง นัตถิ อนาคตัง เส พุทธัสสะ ภะคะวะโต ปะฏิหะตะญาณัง นัตถิ ปัจจุปันนัง เส พุทธัสสะ ภะคะวะโต ปะฏิหะตะญาณัง นัตถิ สัพพัง กายะกัมมัง ญาณานุปุพพัง คะมัง ญาณัง นานุปริวัตตัง นัตถิ สัพพัง วจีกัมมัง ญาณานุปุพพัง คะมัง ญาณัง นานุปริวัตตัง นัตถิ สัพพัง มะโนกัมมัง ญาณานุปุพพัง คะมัง ญาณัง นานุปริวัตตัง อิมัง ธาระณัง อะมิตัง อะสะมัง สัพพะสัตตานัง ตาณังเลณัง สังสาระ ภะยะภีตานัง อัคคัง มหาเตชัง
๖. อิมัง อานันทะ ธาระณะปริตตัง ธาเรหิ วาเรหิ ปริปุจฉาหิ ตัสสะ กาเย วิสัง นะ กะเมยยะ อุทะเกนะ ลัคเคยยะ อัคคีนะ ทะเหยยะ นานาภะยะวิโก นะ เอกาหาระโก นะ ทะวิหาระโก นะ ติหาระโก นะ จะตุหาระโก นะ อุมมัตตะกัง นะ มุฬะหะกัง มนุสเสหิ อะมนุสเสหิ นะ หิงสะกา
๗. ตัง ธาระณัง ปริตตัง ยถา กะตะเม ชาโล มหาชาโล ชาลิตเต มหาชาลิตเต ปุคเค มหาปุคเค สัมปัตเต มหาสัมปัตเต ภูตัง คะมะหิ ตะมังคะลัง
๘. อิมัง โข ปะนานันทะ ธาระณะปริตตัง สัตตังสะเตหิ สัมมาสัมพุทธโกฏีหิ ภาสิตัง วัตเต อะวัตเต คันธะเว อะคันธะเว โนเม อะโนเม เสเว อะเสเว กาเย อะกาเย ธาระเณ อะธาระเณ อิลลิ มิลลิ ติลลิ มิลลิ โยรุกเข มหาโยรุกเข ภูตัง คะมะหิ ตะมังคะลัง
๙. อิมัง โข ปะนานันทะ ธาระณะปริตตัง นะวะ นะ วุติยา สัมมาสัมพุทธโกฏีหิ ภาสิตัง ทิฏฐิลา ทัณทิลา มันติลา โรคิลา ขะระลา ทุพพิลา เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถิ เต โหตุ สัพพะทา.
คำแปลพระคาถาธารณปริตร
๑. อันชีวิตแห่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย อันใคร ๆ ไม่อาจทำอันตรายได้ฉันใด ขอชีวิตความเป็นอยู่แห่งข้าพเจ้า จงเป็นเหมือนเช่นกัน อันว่าญาณที่ไม่มีเครื่องกระทบของพระพุทธเจ้าผู้มีบุญมีย่อมมีในอดีต ในอนาคต ในปัจจุบัน
๒. อันว่ากายกรรมทั้งปวงของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ประกอบแล้วด้วยคุณธรรมทั้งหลายสามเหล่านี้มีญาณเป็นประธานเป็นไปตามญาณ อันว่าวจีกรรมทั้งปวงของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ประกอบแล้วด้วยคุณธรรมทั้งหลายสามเหล่านี้มีญาณเป็นประธานเป็นไปตามญาณ อันว่ามโนกรรมทั้งปวงของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ประกอบแล้วด้วยคุณธรรมทั้งหลายสามเหล่านี้มีญาณเป็นประธานเป็นไปตามญาณ
๓. อันว่าความเสื่อมถอยน้อยลงของประโยชน์ที่ประสงค์ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้มีบุญ ผู้ประกอบแล้วด้วยคุณธรรม ๖ ประการเหล่านี้ อันว่าความเสื่อมถอยน้อยลงแห่งการแสดงธรรม ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันว่าความเสื่อมถอยน้อยลงของความเพียร ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันว่าความเสื่อมถอยน้อยลงของวิปัสสนาญาณ ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันว่าความเสื่อมถอยน้อยลงแห่งกามาวจรและรูปาวจรวิมุตติ ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
๔. อันว่าการพูดเล่น ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีบุญ ผู้ประกอบด้วยคุณธรรมทั้งหลาย ๑๒ ประการเหล่านี้ อันว่าการพูดพลั้งเผลอโดยขาดสติ ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันว่าความไม่แพร่หลายในเญยยะธรรม ๕ ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันว่าการกระทำใด ๆ อย่างผลุนผลัน โดยไม่การพิจารณาเสียก่อน ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันว่าความมีใจวุ่นวายด้วยกิเลส ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันว่าการกระทำที่ไม่มีอุเบกขาในเตภูมิสังขาร ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
๕. อันว่าความเคารพนอบน้อม ขอจงมีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีบุญ ผู้ประกอบแล้วด้วยคุณธรรม ๑๘ ประการเหล่านี้ อันว่ากายทุจริต ย่อมไม่มีแด่พระตถาคต อันว่าวจีทุจริต ย่อมไม่มีแด่พระตถาคต อันว่ามโนทุจริต ย่อมไม่มีแด่พระตถาคต อันว่าญาณ อันมีเครื่องกระทบขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีบุญ ย่อมไม่มีในอดีต อันว่าญาณ อันมีเครื่องกระทบขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีบุญ ย่อมไม่มีในปัจจุบัน อันว่าญาณ อันมีเครื่องกระทบขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีบุญ ย่อมไม่มีในอนาคต อันว่ากายกรรมทั้งปวง ไม่มีญาณเป็นประธาน ไม่เป็นไปตามญาณ ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันว่าวจีกรรมทั้งปวง ไม่มีญาณเป็นประธาน ไม่เป็นไปตามญาณ ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันว่ามโนกรรมทั้งปวง ไม่มีญาณเป็นประธาน ไม่เป็นไปตามญาณ ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันว่ามโนกรรมทั้งปวง ไม่มีญาณเป็นประธาน ไม่เป็นไปตามญาณ ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันว่า ธารณปริตร นี้ ไม่มีเครื่องเทียบ ไม่มีเครื่องเสมอเหมือน เป็นที่ต่อต้าน เป็นที่หลบซ่อนของสัตว์ผู้ที่กลัวภัยในสังสารวัฏทั้งหลาย อัคคัง ประเสริฐ มหาเตชัง มีเดชมาก
๖. ดูกรอานนท์ ท่านจงท่องจดจำ สอบถาม ซึ่งธารณปริตรนี้ อันว่ากายของผู้ท่องสวดมนต์ธารณปริตรนี้ ไม่พึงตายด้วยพิษงู พิษนาค ไม่พึงตายในน้ำ อันว่าไฟไม่พึงไหม้เป็นผู้พ้นภัยพิบัติต่าง ๆ ใครคิดทำร้ายในวันเดียวก็ไม่สำเร็จ ใครคิดร้ายทำลายในสองวัน สามวัน สี่วันก็ไม่สำเร็จ ไม่พึงเป็นโรคหลงลืม ไม่พึงเป็นบ้าใบ้ อันอมนุษย์ทั้งหลาย ไม่สามารถเบียดเบียนได้
๗. อันว่าธารณปริตรนี้ มีความศักดิ์สิทธิ์ คือ ชาโล มีอานุภาพเหมือนพระอาทิตย์ ประชุมกัน ๗ ดวง ที่ขึ้นมาในเวลาโลกาพินาศ มหาชาโล มีอานุภาพเหมือนมุ้งเหล็ก ที่สามารถป้องกันภัยจาก เทวดา อินทร์ นาค ครุฑ ยักษ์ เป็นต้น ชาลิตเต มีอานุภาพประหารศัตรูทั้งหลาย มหาชาลิตเต มีอานุภาพให้พ้นจากกัปทั้ง ๓ คือ โรคันตรกัป, สัตถันตรกัป และทุพภิกขันตรกัป มีอานุภาพให้พ้นจากโลกต่าง ๆ ในเวลาปฏิสนธิคือ การเป็นใบ้ เป็นพิการ เป็นคนหูหนวก อีกทั้งไม่พึงตกต้นไม้ ตกเหว ตกเขาตาย สามารถได้สมบัติที่ยังไม่ได้ ทรัพย์สมบัติที่ได้มาแล้วก็จะเจริญขึ้นโดยความเป็นจริง สามารถประหารความมืด แล้วได้ความสว่าง
๘. ดูกรอานนท์ อันธารณปริตร ซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงตรัสไว้พึงสมาคมคนดี ไม่พึงสมาคมคนชั่ว พึงนำมาซึ่งกลิ่นและรสอันเป็นธรรม พึงน้อมนำมาซึ่งน้ำใจดี ไม่พึงน้อมนำมาซึ่งน้ำใจร้าย พึงทำกายให้เป็นกายดี พึงนำมาแต่สิ่งอันเป็นกุศล ไม่ถึงนำมาซึ่งสิ่งอันเป็นอกุศล พึงฟังแต่สิ่งที่ดีไม่พึงฟังสิ่งที่ไม่ดี พึงเห็นแต่นิมิตดี ไม่ถึงเห็นนิมิตร้าย โยรุกเข ต้นไม้ที่ตายแล้วสามารถฟื้นขึ้นมาได้ มหาโยรุกเข ต้นไม้ที่ยังเป็นอยู่ ก็ทำให้เจริญงอกงามโดยความเป็นจริง สามารถประหารความมืด แล้วได้ความสว่าง
๙. ดูกรอานนท์ อันธารณปริตรนี้ สามารถรู้ความคิดร้ายของผู้อื่น อาวุธต่าง ๆ มีเครื่องประหาร เช่น มีด หอก ปืน ไฟ เป็นต้น ไม่สามารถทำอันตรายได้ มันติลา สามารถทำน้ำมนต์คาถา ให้มีความศักดิ์สิทธิ์ขึ้น สามารถประหารโรคต่างได้ และโรคร้ายแรงต่าง ๆ ไม่อาจทำอันตรายได้ ทุพพิลา สามารถหลุดพ้นจากเครื่องผูกมัด ด้วยอำนาจแห่งสัจจะวาจานี้ ขอความสวัสดีมีชัยจงมีแก่ข้าพเจ้าในกาลทุกเมื่อเถิด
ที่มา เวปพลังจิต
Sunday, September 11, 2016
บทสวดพระคาถาธารณปริตร
พระคาถาธารณปริตร
น้อมรำลึกถึงพระปัญญาธิคุณ พระเมตตาธิคุณ พระมหากรุณาธิคุณ แห่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ โดยกล่าวคำนอบน้อมนมัสการคือ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ๓ จบ
๑. พุทธานัง ชิวิตตัสสะ นะ สักกา เกนะจิ อันตะราโย กาตุง ตถา เม โหตุ อตีตัง เส พุทธัสสะ ภะคะวะโต อัปปฏิหะตะญาณัง อนาคตัง เส พุทธัสสะ ภะคะวะโต อัปปฏิหะตะญาณัง ปัจจุปันนัง เส พุทธัสสะ ภะคะวะโต อัปปฏิหะตะญาณัง
๒. อิเมหิ ตีหิ ธัเมหิ สะมันนาคะตัสสะ พุทธัสสะ ภะคะวะโต สัพพัง กายะกัมมัง ญาณะปุพพังคะมัง ญาณานุปริวัตตัง สัพพัง วจีกัมมัง ญาณะปุพพังคะมัง ญาณานุปริวัตตัง สัพพัง มะโนกัมมัง ญาณะปุพพังคะมัง ญาณานุปริวัตตัง
๓. อิเมหิ ฉะหิ ธัมเมหิ สะมันนาคะตัสสะ พุทธัสสะ ภะคะวะโต นัตถิ ฉันทัสสะ หานิ นัตถิ ธัมมะเทสนายะ หานิ นัตถิ วิริยัสสะ หานิ นัตถิ วิปัสสะนายะ หานิ นัตถิ สมาธิธัสสะ หานิ นัตถิ วิมุตติยา หานิ
๔. อิเมหิ ทะวาทะสะหิ ธัมเมหิ สะมันนาคะตัสสะ พุทธัสสะ ภะคะวะโต นัตถิ ทะวา นัตถิ ระวา นัตถิ อัปผุฏฏัง นัตถิ เวคายิตัตตัง นัตถิ พะยาวะฏะมะโน นัตถิ อัปปฏิสังขารุเปกขา
๕. อิเมหิ อัฏฐาระสะหิ ธัมเมหิ สะมันนาคะตัสสะ พุทธัสสะ ภะคะวะโต นะโม สัตตันนังสัมมาสัมพุทธัง นัตถิ ตะถาคะตัสสะ กายะทุจริตตัง นัตถิ ตะถาคะตัสสะ วจีทุจริตตัง นัตถิ ตะถาคะตัสสะ มโนทุจริตตัง นัตถิ อตีตัง เส พุทธัสสะ ภะคะวะโต ปะฏิหะตะญาณัง นัตถิ อนาคตัง เส พุทธัสสะ ภะคะวะโต ปะฏิหะตะญาณัง นัตถิ ปัจจุปันนัง เส พุทธัสสะ ภะคะวะโต ปะฏิหะตะญาณัง นัตถิ สัพพัง กายะกัมมัง ญาณานุปุพพัง คะมัง ญาณัง นานุปริวัตตัง นัตถิ สัพพัง วจีกัมมัง ญาณานุปุพพัง คะมัง ญาณัง นานุปริวัตตัง นัตถิ สัพพัง มะโนกัมมัง ญาณานุปุพพัง คะมัง ญาณัง นานุปริวัตตัง อิมัง ธาระณัง อะมิตัง อะสะมัง สัพพะสัตตานัง ตาณังเลณัง สังสาระ ภะยะภีตานัง อัคคัง มหาเตชัง
๖. อิมัง อานันทะ ธาระณะปริตตัง ธาเรหิ วาเรหิ ปริปุจฉาหิ ตัสสะ กาเย วิสัง นะ กะเมยยะ อุทะเกนะ ลัคเคยยะ อัคคีนะ ทะเหยยะ นานาภะยะวิโก นะ เอกาหาระโก นะ ทะวิหาระโก นะ ติหาระโก นะ จะตุหาระโก นะ อุมมัตตะกัง นะ มุฬะหะกัง มนุสเสหิ อะมนุสเสหิ นะ หิงสะกา
๗. ตัง ธาระณัง ปริตตัง ยถา กะตะเม ชาโล มหาชาโล ชาลิตเต มหาชาลิตเต ปุคเค มหาปุคเค สัมปัตเต มหาสัมปัตเต ภูตัง คะมะหิ ตะมังคะลัง
๘. อิมัง โข ปะนานันทะ ธาระณะปริตตัง สัตตังสะเตหิ สัมมาสัมพุทธโกฏีหิ ภาสิตัง วัตเต อะวัตเต คันธะเว อะคันธะเว โนเม อะโนเม เสเว อะเสเว กาเย อะกาเย ธาระเณ อะธาระเณ อิลลิ มิลลิ ติลลิ มิลลิ โยรุกเข มหาโยรุกเข ภูตัง คะมะหิ ตะมังคะลัง
๙. อิมัง โข ปะนานันทะ ธาระณะปริตตัง นะวะ นะ วุติยา สัมมาสัมพุทธโกฏีหิ ภาสิตัง ทิฏฐิลา ทัณทิลา มันติลา โรคิลา ขะระลา ทุพพิลา เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถิ เต โหตุ สัพพะทา.
คำแปลพระคาถาธารณปริตร
๑. อันชีวิตแห่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย อันใคร ๆ ไม่อาจทำอันตรายได้ฉันใด ขอชีวิตความเป็นอยู่แห่งข้าพเจ้า จงเป็นเหมือนเช่นกัน อันว่าญาณที่ไม่มีเครื่องกระทบของพระพุทธเจ้าผู้มีบุญมีย่อมมีในอดีต ในอนาคต ในปัจจุบัน
๒. อันว่ากายกรรมทั้งปวงของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ประกอบแล้วด้วยคุณธรรมทั้งหลายสามเหล่านี้มีญาณเป็นประธานเป็นไปตามญาณ อันว่าวจีกรรมทั้งปวงของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ประกอบแล้วด้วยคุณธรรมทั้งหลายสามเหล่านี้มีญาณเป็นประธานเป็นไปตามญาณ อันว่ามโนกรรมทั้งปวงของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ประกอบแล้วด้วยคุณธรรมทั้งหลายสามเหล่านี้มีญาณเป็นประธานเป็นไปตามญาณ
๓. อันว่าความเสื่อมถอยน้อยลงของประโยชน์ที่ประสงค์ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้มีบุญ ผู้ประกอบแล้วด้วยคุณธรรม ๖ ประการเหล่านี้ อันว่าความเสื่อมถอยน้อยลงแห่งการแสดงธรรม ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันว่าความเสื่อมถอยน้อยลงของความเพียร ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันว่าความเสื่อมถอยน้อยลงของวิปัสสนาญาณ ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันว่าความเสื่อมถอยน้อยลงแห่งกามาวจรและรูปาวจรวิมุตติ ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
๔. อันว่าการพูดเล่น ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีบุญ ผู้ประกอบด้วยคุณธรรมทั้งหลาย ๑๒ ประการเหล่านี้ อันว่าการพูดพลั้งเผลอโดยขาดสติ ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันว่าความไม่แพร่หลายในเญยยะธรรม ๕ ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันว่าการกระทำใด ๆ อย่างผลุนผลัน โดยไม่การพิจารณาเสียก่อน ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันว่าความมีใจวุ่นวายด้วยกิเลส ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันว่าการกระทำที่ไม่มีอุเบกขาในเตภูมิสังขาร ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
๕. อันว่าความเคารพนอบน้อม ขอจงมีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีบุญ ผู้ประกอบแล้วด้วยคุณธรรม ๑๘ ประการเหล่านี้ อันว่ากายทุจริต ย่อมไม่มีแด่พระตถาคต อันว่าวจีทุจริต ย่อมไม่มีแด่พระตถาคต อันว่ามโนทุจริต ย่อมไม่มีแด่พระตถาคต อันว่าญาณ อันมีเครื่องกระทบขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีบุญ ย่อมไม่มีในอดีต อันว่าญาณ อันมีเครื่องกระทบขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีบุญ ย่อมไม่มีในปัจจุบัน อันว่าญาณ อันมีเครื่องกระทบขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีบุญ ย่อมไม่มีในอนาคต อันว่ากายกรรมทั้งปวง ไม่มีญาณเป็นประธาน ไม่เป็นไปตามญาณ ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันว่าวจีกรรมทั้งปวง ไม่มีญาณเป็นประธาน ไม่เป็นไปตามญาณ ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันว่ามโนกรรมทั้งปวง ไม่มีญาณเป็นประธาน ไม่เป็นไปตามญาณ ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันว่ามโนกรรมทั้งปวง ไม่มีญาณเป็นประธาน ไม่เป็นไปตามญาณ ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันว่า ธารณปริตร นี้ ไม่มีเครื่องเทียบ ไม่มีเครื่องเสมอเหมือน เป็นที่ต่อต้าน เป็นที่หลบซ่อนของสัตว์ผู้ที่กลัวภัยในสังสารวัฏทั้งหลาย อัคคัง ประเสริฐ มหาเตชัง มีเดชมาก
๖. ดูกรอานนท์ ท่านจงท่องจดจำ สอบถาม ซึ่งธารณปริตรนี้ อันว่ากายของผู้ท่องสวดมนต์ธารณปริตรนี้ ไม่พึงตายด้วยพิษงู พิษนาค ไม่พึงตายในน้ำ อันว่าไฟไม่พึงไหม้เป็นผู้พ้นภัยพิบัติต่าง ๆ ใครคิดทำร้ายในวันเดียวก็ไม่สำเร็จ ใครคิดร้ายทำลายในสองวัน สามวัน สี่วันก็ไม่สำเร็จ ไม่พึงเป็นโรคหลงลืม ไม่พึงเป็นบ้าใบ้ อันอมนุษย์ทั้งหลาย ไม่สามารถเบียดเบียนได้
๗. อันว่าธารณปริตรนี้ มีความศักดิ์สิทธิ์ คือ ชาโล มีอานุภาพเหมือนพระอาทิตย์ ประชุมกัน ๗ ดวง ที่ขึ้นมาในเวลาโลกาพินาศ มหาชาโล มีอานุภาพเหมือนมุ้งเหล็ก ที่สามารถป้องกันภัยจาก เทวดา อินทร์ นาค ครุฑ ยักษ์ เป็นต้น ชาลิตเต มีอานุภาพประหารศัตรูทั้งหลาย มหาชาลิตเต มีอานุภาพให้พ้นจากกัปทั้ง ๓ คือ โรคันตรกัป, สัตถันตรกัป และทุพภิกขันตรกัป มีอานุภาพให้พ้นจากโลกต่าง ๆ ในเวลาปฏิสนธิคือ การเป็นใบ้ เป็นพิการ เป็นคนหูหนวก อีกทั้งไม่พึงตกต้นไม้ ตกเหว ตกเขาตาย สามารถได้สมบัติที่ยังไม่ได้ ทรัพย์สมบัติที่ได้มาแล้วก็จะเจริญขึ้นโดยความเป็นจริง สามารถประหารความมืด แล้วได้ความสว่าง
๘. ดูกรอานนท์ อันธารณปริตร ซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงตรัสไว้พึงสมาคมคนดี ไม่พึงสมาคมคนชั่ว พึงนำมาซึ่งกลิ่นและรสอันเป็นธรรม พึงน้อมนำมาซึ่งน้ำใจดี ไม่พึงน้อมนำมาซึ่งน้ำใจร้าย พึงทำกายให้เป็นกายดี พึงนำมาแต่สิ่งอันเป็นกุศล ไม่ถึงนำมาซึ่งสิ่งอันเป็นอกุศล พึงฟังแต่สิ่งที่ดีไม่พึงฟังสิ่งที่ไม่ดี พึงเห็นแต่นิมิตดี ไม่ถึงเห็นนิมิตร้าย โยรุกเข ต้นไม้ที่ตายแล้วสามารถฟื้นขึ้นมาได้ มหาโยรุกเข ต้นไม้ที่ยังเป็นอยู่ ก็ทำให้เจริญงอกงามโดยความเป็นจริง สามารถประหารความมืด แล้วได้ความสว่าง
๙. ดูกรอานนท์ อันธารณปริตรนี้ สามารถรู้ความคิดร้ายของผู้อื่น อาวุธต่าง ๆ มีเครื่องประหาร เช่น มีด หอก ปืน ไฟ เป็นต้น ไม่สามารถทำอันตรายได้ มันติลา สามารถทำน้ำมนต์คาถา ให้มีความศักดิ์สิทธิ์ขึ้น สามารถประหารโรคต่างได้ และโรคร้ายแรงต่าง ๆ ไม่อาจทำอันตรายได้ ทุพพิลา สามารถหลุดพ้นจากเครื่องผูกมัด ด้วยอำนาจแห่งสัจจะวาจานี้ ขอความสวัสดีมีชัยจงมีแก่ข้าพเจ้าในกาลทุกเมื่อเถิด
ที่มา เวปพลังจิต
น้อมรำลึกถึงพระปัญญาธิคุณ พระเมตตาธิคุณ พระมหากรุณาธิคุณ แห่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ โดยกล่าวคำนอบน้อมนมัสการคือ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ๓ จบ
๑. พุทธานัง ชิวิตตัสสะ นะ สักกา เกนะจิ อันตะราโย กาตุง ตถา เม โหตุ อตีตัง เส พุทธัสสะ ภะคะวะโต อัปปฏิหะตะญาณัง อนาคตัง เส พุทธัสสะ ภะคะวะโต อัปปฏิหะตะญาณัง ปัจจุปันนัง เส พุทธัสสะ ภะคะวะโต อัปปฏิหะตะญาณัง
๒. อิเมหิ ตีหิ ธัเมหิ สะมันนาคะตัสสะ พุทธัสสะ ภะคะวะโต สัพพัง กายะกัมมัง ญาณะปุพพังคะมัง ญาณานุปริวัตตัง สัพพัง วจีกัมมัง ญาณะปุพพังคะมัง ญาณานุปริวัตตัง สัพพัง มะโนกัมมัง ญาณะปุพพังคะมัง ญาณานุปริวัตตัง
๓. อิเมหิ ฉะหิ ธัมเมหิ สะมันนาคะตัสสะ พุทธัสสะ ภะคะวะโต นัตถิ ฉันทัสสะ หานิ นัตถิ ธัมมะเทสนายะ หานิ นัตถิ วิริยัสสะ หานิ นัตถิ วิปัสสะนายะ หานิ นัตถิ สมาธิธัสสะ หานิ นัตถิ วิมุตติยา หานิ
๔. อิเมหิ ทะวาทะสะหิ ธัมเมหิ สะมันนาคะตัสสะ พุทธัสสะ ภะคะวะโต นัตถิ ทะวา นัตถิ ระวา นัตถิ อัปผุฏฏัง นัตถิ เวคายิตัตตัง นัตถิ พะยาวะฏะมะโน นัตถิ อัปปฏิสังขารุเปกขา
๕. อิเมหิ อัฏฐาระสะหิ ธัมเมหิ สะมันนาคะตัสสะ พุทธัสสะ ภะคะวะโต นะโม สัตตันนังสัมมาสัมพุทธัง นัตถิ ตะถาคะตัสสะ กายะทุจริตตัง นัตถิ ตะถาคะตัสสะ วจีทุจริตตัง นัตถิ ตะถาคะตัสสะ มโนทุจริตตัง นัตถิ อตีตัง เส พุทธัสสะ ภะคะวะโต ปะฏิหะตะญาณัง นัตถิ อนาคตัง เส พุทธัสสะ ภะคะวะโต ปะฏิหะตะญาณัง นัตถิ ปัจจุปันนัง เส พุทธัสสะ ภะคะวะโต ปะฏิหะตะญาณัง นัตถิ สัพพัง กายะกัมมัง ญาณานุปุพพัง คะมัง ญาณัง นานุปริวัตตัง นัตถิ สัพพัง วจีกัมมัง ญาณานุปุพพัง คะมัง ญาณัง นานุปริวัตตัง นัตถิ สัพพัง มะโนกัมมัง ญาณานุปุพพัง คะมัง ญาณัง นานุปริวัตตัง อิมัง ธาระณัง อะมิตัง อะสะมัง สัพพะสัตตานัง ตาณังเลณัง สังสาระ ภะยะภีตานัง อัคคัง มหาเตชัง
๖. อิมัง อานันทะ ธาระณะปริตตัง ธาเรหิ วาเรหิ ปริปุจฉาหิ ตัสสะ กาเย วิสัง นะ กะเมยยะ อุทะเกนะ ลัคเคยยะ อัคคีนะ ทะเหยยะ นานาภะยะวิโก นะ เอกาหาระโก นะ ทะวิหาระโก นะ ติหาระโก นะ จะตุหาระโก นะ อุมมัตตะกัง นะ มุฬะหะกัง มนุสเสหิ อะมนุสเสหิ นะ หิงสะกา
๗. ตัง ธาระณัง ปริตตัง ยถา กะตะเม ชาโล มหาชาโล ชาลิตเต มหาชาลิตเต ปุคเค มหาปุคเค สัมปัตเต มหาสัมปัตเต ภูตัง คะมะหิ ตะมังคะลัง
๘. อิมัง โข ปะนานันทะ ธาระณะปริตตัง สัตตังสะเตหิ สัมมาสัมพุทธโกฏีหิ ภาสิตัง วัตเต อะวัตเต คันธะเว อะคันธะเว โนเม อะโนเม เสเว อะเสเว กาเย อะกาเย ธาระเณ อะธาระเณ อิลลิ มิลลิ ติลลิ มิลลิ โยรุกเข มหาโยรุกเข ภูตัง คะมะหิ ตะมังคะลัง
๙. อิมัง โข ปะนานันทะ ธาระณะปริตตัง นะวะ นะ วุติยา สัมมาสัมพุทธโกฏีหิ ภาสิตัง ทิฏฐิลา ทัณทิลา มันติลา โรคิลา ขะระลา ทุพพิลา เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถิ เต โหตุ สัพพะทา.
คำแปลพระคาถาธารณปริตร
๑. อันชีวิตแห่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย อันใคร ๆ ไม่อาจทำอันตรายได้ฉันใด ขอชีวิตความเป็นอยู่แห่งข้าพเจ้า จงเป็นเหมือนเช่นกัน อันว่าญาณที่ไม่มีเครื่องกระทบของพระพุทธเจ้าผู้มีบุญมีย่อมมีในอดีต ในอนาคต ในปัจจุบัน
๒. อันว่ากายกรรมทั้งปวงของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ประกอบแล้วด้วยคุณธรรมทั้งหลายสามเหล่านี้มีญาณเป็นประธานเป็นไปตามญาณ อันว่าวจีกรรมทั้งปวงของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ประกอบแล้วด้วยคุณธรรมทั้งหลายสามเหล่านี้มีญาณเป็นประธานเป็นไปตามญาณ อันว่ามโนกรรมทั้งปวงของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ประกอบแล้วด้วยคุณธรรมทั้งหลายสามเหล่านี้มีญาณเป็นประธานเป็นไปตามญาณ
๓. อันว่าความเสื่อมถอยน้อยลงของประโยชน์ที่ประสงค์ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้มีบุญ ผู้ประกอบแล้วด้วยคุณธรรม ๖ ประการเหล่านี้ อันว่าความเสื่อมถอยน้อยลงแห่งการแสดงธรรม ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันว่าความเสื่อมถอยน้อยลงของความเพียร ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันว่าความเสื่อมถอยน้อยลงของวิปัสสนาญาณ ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันว่าความเสื่อมถอยน้อยลงแห่งกามาวจรและรูปาวจรวิมุตติ ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
๔. อันว่าการพูดเล่น ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีบุญ ผู้ประกอบด้วยคุณธรรมทั้งหลาย ๑๒ ประการเหล่านี้ อันว่าการพูดพลั้งเผลอโดยขาดสติ ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันว่าความไม่แพร่หลายในเญยยะธรรม ๕ ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันว่าการกระทำใด ๆ อย่างผลุนผลัน โดยไม่การพิจารณาเสียก่อน ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันว่าความมีใจวุ่นวายด้วยกิเลส ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันว่าการกระทำที่ไม่มีอุเบกขาในเตภูมิสังขาร ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
๕. อันว่าความเคารพนอบน้อม ขอจงมีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีบุญ ผู้ประกอบแล้วด้วยคุณธรรม ๑๘ ประการเหล่านี้ อันว่ากายทุจริต ย่อมไม่มีแด่พระตถาคต อันว่าวจีทุจริต ย่อมไม่มีแด่พระตถาคต อันว่ามโนทุจริต ย่อมไม่มีแด่พระตถาคต อันว่าญาณ อันมีเครื่องกระทบขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีบุญ ย่อมไม่มีในอดีต อันว่าญาณ อันมีเครื่องกระทบขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีบุญ ย่อมไม่มีในปัจจุบัน อันว่าญาณ อันมีเครื่องกระทบขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีบุญ ย่อมไม่มีในอนาคต อันว่ากายกรรมทั้งปวง ไม่มีญาณเป็นประธาน ไม่เป็นไปตามญาณ ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันว่าวจีกรรมทั้งปวง ไม่มีญาณเป็นประธาน ไม่เป็นไปตามญาณ ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันว่ามโนกรรมทั้งปวง ไม่มีญาณเป็นประธาน ไม่เป็นไปตามญาณ ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันว่ามโนกรรมทั้งปวง ไม่มีญาณเป็นประธาน ไม่เป็นไปตามญาณ ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันว่า ธารณปริตร นี้ ไม่มีเครื่องเทียบ ไม่มีเครื่องเสมอเหมือน เป็นที่ต่อต้าน เป็นที่หลบซ่อนของสัตว์ผู้ที่กลัวภัยในสังสารวัฏทั้งหลาย อัคคัง ประเสริฐ มหาเตชัง มีเดชมาก
๖. ดูกรอานนท์ ท่านจงท่องจดจำ สอบถาม ซึ่งธารณปริตรนี้ อันว่ากายของผู้ท่องสวดมนต์ธารณปริตรนี้ ไม่พึงตายด้วยพิษงู พิษนาค ไม่พึงตายในน้ำ อันว่าไฟไม่พึงไหม้เป็นผู้พ้นภัยพิบัติต่าง ๆ ใครคิดทำร้ายในวันเดียวก็ไม่สำเร็จ ใครคิดร้ายทำลายในสองวัน สามวัน สี่วันก็ไม่สำเร็จ ไม่พึงเป็นโรคหลงลืม ไม่พึงเป็นบ้าใบ้ อันอมนุษย์ทั้งหลาย ไม่สามารถเบียดเบียนได้
๗. อันว่าธารณปริตรนี้ มีความศักดิ์สิทธิ์ คือ ชาโล มีอานุภาพเหมือนพระอาทิตย์ ประชุมกัน ๗ ดวง ที่ขึ้นมาในเวลาโลกาพินาศ มหาชาโล มีอานุภาพเหมือนมุ้งเหล็ก ที่สามารถป้องกันภัยจาก เทวดา อินทร์ นาค ครุฑ ยักษ์ เป็นต้น ชาลิตเต มีอานุภาพประหารศัตรูทั้งหลาย มหาชาลิตเต มีอานุภาพให้พ้นจากกัปทั้ง ๓ คือ โรคันตรกัป, สัตถันตรกัป และทุพภิกขันตรกัป มีอานุภาพให้พ้นจากโลกต่าง ๆ ในเวลาปฏิสนธิคือ การเป็นใบ้ เป็นพิการ เป็นคนหูหนวก อีกทั้งไม่พึงตกต้นไม้ ตกเหว ตกเขาตาย สามารถได้สมบัติที่ยังไม่ได้ ทรัพย์สมบัติที่ได้มาแล้วก็จะเจริญขึ้นโดยความเป็นจริง สามารถประหารความมืด แล้วได้ความสว่าง
๘. ดูกรอานนท์ อันธารณปริตร ซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงตรัสไว้พึงสมาคมคนดี ไม่พึงสมาคมคนชั่ว พึงนำมาซึ่งกลิ่นและรสอันเป็นธรรม พึงน้อมนำมาซึ่งน้ำใจดี ไม่พึงน้อมนำมาซึ่งน้ำใจร้าย พึงทำกายให้เป็นกายดี พึงนำมาแต่สิ่งอันเป็นกุศล ไม่ถึงนำมาซึ่งสิ่งอันเป็นอกุศล พึงฟังแต่สิ่งที่ดีไม่พึงฟังสิ่งที่ไม่ดี พึงเห็นแต่นิมิตดี ไม่ถึงเห็นนิมิตร้าย โยรุกเข ต้นไม้ที่ตายแล้วสามารถฟื้นขึ้นมาได้ มหาโยรุกเข ต้นไม้ที่ยังเป็นอยู่ ก็ทำให้เจริญงอกงามโดยความเป็นจริง สามารถประหารความมืด แล้วได้ความสว่าง
๙. ดูกรอานนท์ อันธารณปริตรนี้ สามารถรู้ความคิดร้ายของผู้อื่น อาวุธต่าง ๆ มีเครื่องประหาร เช่น มีด หอก ปืน ไฟ เป็นต้น ไม่สามารถทำอันตรายได้ มันติลา สามารถทำน้ำมนต์คาถา ให้มีความศักดิ์สิทธิ์ขึ้น สามารถประหารโรคต่างได้ และโรคร้ายแรงต่าง ๆ ไม่อาจทำอันตรายได้ ทุพพิลา สามารถหลุดพ้นจากเครื่องผูกมัด ด้วยอำนาจแห่งสัจจะวาจานี้ ขอความสวัสดีมีชัยจงมีแก่ข้าพเจ้าในกาลทุกเมื่อเถิด
ที่มา เวปพลังจิต
บทสวดชัยมงคลคาถา (พาหุงมหากา)
บทชัยมงคลคาถา (พาหุงมหากา)
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ ( ๓ จบ )
พุทธัง สะระนัง คัจฉามิ
ธัมมัง สะระนัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระนัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ พุทธัง สะระนัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระนัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ สังฆัง สะระนัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ พุทธัง สะระนัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ ธัมมัง สะระนัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ สังฆัง สะระนัง คัจฉามิ
อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติฯ
สะวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิติฯ
สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเณยโย อัญชะลีกะระณีโย อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติฯ
พาหุงสะหัส สะมะภินิมมิตะสาวุธันตัง
ครีเมขะลัง อุทิตะโฆ ระสะเสนะมารัง
ทานาทิธัมมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ
มาราติเร กะมะภิยุชฌิตะสัพพะรัตติง
โฆรัมปะนาฬะวะกะมักขะมะถัทธะยักขัง
ขันตีสุทันตะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ
นาฬาคิริง คะชะวะรัง อะติมัตตะภูตัง
ทาวัคคิจักกะมะสะนีวะ สุทารุณันตัง
เมตตัมพุเสกะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ
อุกขิตตะขัคคะมะติหัตถะสุทารุณันตัง
ธาวันติโยชะนะปะถังคุลิมาละวันตัง
อิทธีภิสังขะตะมะโน ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ
กัตตะวานะ กัฏฐะมุทะรัง อิวะ คัพภินียา
จิญจายะ ทุฏฐะวะจะนัง ชะยะกายะมัชเฌ
สันเตนะ โสมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ
สัจจัง วิหายะ มะติสัจจะกาวาทะเกตุง
วาทาภิโรปิตะมะนัง อะติอันธะภูตัง
ปัญญาปะทีปะชะลิโต ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ
นันโทปะนันทะภุชะคัง วิพุธัง มะหิทธิง
ปุตเตนะ เถระภุชะเคนะ ทะมาปะยันโต
อิทธูปะเทสะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ
ทุคคาหะทิฏฐิภุชะเคนะ สุทัฏฐะหัตถัง
พรัหมัง วิสุทธิชุติมิทธิพะกาภิธานัง
ญาณาคะเทนะ วิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ
เอตาปิ พุทธะชะยะมังคะละอัฉฐะคาถา โย
วาจะโน ทินะทิเน สะระเต มะตันที
หิตวานะเนกะวิวิธานิ จุปัททะวานิ
โมกขัง สุขัง อะธิคะเมยยะ นะโร สะปัญโญ
มะหาการุณิโก นาโถ หิตายะ สัพพะปาณินัง ปูเรตวา ปาระมี สัพพา ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ เต ชะยะมังคะลังฯ
ชะยันโต โพธิยา มูเล สักยานัง นันทิวัฑฒะโน เอวัง ตวัง วิชะโย โหหิ ชะยัสสุ ชะยะมังคะเล อะปะราชิตะปัลลังเก สีเส ปะฐะวิโปกขะเร อะภิเสเก สัพพะ พุทธานัง อัคคัปปัตโต ปะโมทะติฯ สุนักขัตตัง สุมังคะลัง สุปะภาตัง สุหุฏฐิตัง สุขะโณ สุมุหุตโต จะ สุยิฏฐัง พรัมหมะจาริสุ ปะทักขิณัง กายะกัมมัง วาจากัมมัง ปะทักขิณัง ปะทักขิณัง มะโนกัมมัง ปะณิธีเต ปะทักขิณา ปะทักขิณานิ กัตวานะ ละภันตัตเถ ปะทักขิเณฯ
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา สัพพะพุทธานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เตฯ
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา สัพพะธัมมานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เตฯ
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา สัพพะสังฆานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต
คำเเปล
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง (สามครั้ง)
ข้าพเจ้าขอถือเอา พระพุทธเจ้าเป็นสะระณะ
ข้าพเจ้าขอถือเอา พระธรรมเจ้าเป็นสะระณะ
ข้าพเจ้าขอถือเอา พระสงฆเจ้าเป็นสะระณะ
แม้ครั้งที่สอง ข้าพเจ้าขอถือเอา พระพุทธเจ้าเป็นสะระณะ
แม้ครั้งที่สอง ข้าพเจ้าขอถือเอา พระธรรมเจ้าเป็นสะระณะ
แม้ครั้งที่สอง ข้าพเจ้าขอถือเอา พระสงฆเจ้าเป็นสะระณะ
แม้ครั้งที่สาม ข้าพเจ้าขอถือเอา พระพุทธเจ้าเป็นสะระณะ
แม้ครั้งที่สาม ข้าพเจ้าขอถือเอา พระธรรมเจ้าเป็นสะระณะ
แม้ครั้งที่สาม ข้าพเจ้าขอถือเอา พระสงฆเจ้าเป็นสะระณะ
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เป็นผู้ทรงแจกจ่ายธรรม เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้ดีโดยชอบด้วยพระองค์เอง ทรงถึงพร้อมด้วยวิชชา และ จรณะ (ความรู้และความประพฤติ) เสด็จไปดี (คือไปที่ใดก็ยังประโยชน์ให้ที่นั้น) ทรงรู้แจ้งโลก ทรงเป็นสารถีฝึกคนที่ควรฝึก หาผู้อื่นเปรียบมิได้ ทรงเป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ทรงเป็นผู้ตื่น ทรงเป็นผู้แจกจ่ายธรรม
พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว อันผู้ปฏิบัติเห็นชอบได้ด้วยตนเอง ไม่ประกอบด้วยกาลเวลา ควรเรียกมาดูได้ ควรนอบน้อมเข้าไปหา อันผู้รู้พึงรู้ได้ด้วยตนเอง
พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเป็นผู้ปฏิบัติตรง พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความรู้ พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเป็นผู้ปฏิบัติชอบ พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคนั้น จัดเป็นบุรุษสี่คู่ เป็นบุคคลแปด เป็นผู้ควรบูชา เป็นผู้ควรรับทิกษิณา เป็นผู้ควรกราบไหว้ เป็นเนื้อนาบุญของโลก หาสิ่งอื่นเปรียบมิได้
สมเด็จพระผู้มีพระภาค ผู้เป็นจอมของนักปราชญ์ ทรงชนะพญามารพร้อมด้วยเสนา ซึ่งเนรมิตแขนได้ตั้งพัน มีมือถืออาวุธครบทั้งพันมือ ขี่ช้างคิรีเมขล์ ส่งเสียงสนั่นน่ากลัว ทรงชนะด้วยธรรมวิธีมีทานบารมี เป็นต้น และด้วยเดชะของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ข้าพเจ้า
สมเด็จพระผู้มีพระภาค พระจอมมุนีทรงชนะอาฬวกยักษ์ผู้โหดร้ายบ้าคลั่ง น่าสพึงกลัว ซึ่งต่อสู้กับพระองค์ ตลอดทั้งคืนรุนแรงยิ่งกว่าพญามาร จนละพยศร้ายได้สิ้น ด้วยขันติธรรมวิธีอันพระองค์ได้ฝึกไว้ดีแล้ว และด้วยเดชของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ข้าพเจ้า
สมเด็จพระผู้มีพระภาค พระจอมมุนีทรงชนะพญาช้าง ชื่อ นาฬาคิรี ซึ่งกำลังตกมันจัด ทารุณโหดร้ายยิ่งนัก ดุจไฟป่าจักราวุธและสายฟ้า ด้วยพระเมตตาธรรม และด้วยเดชของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ข้าพเจ้า
สมเด็จพระผู้มีพระภาค พระจอมมุนีทรงชนะมหาโจร ชื่อ องคุลีมาล ในมือถือดาบเงื้อง่าโหดร้ายทารุณยิ่ง วิ่งไล่ตามพระองค์ห่างออกไปเรื่อย ๆ เป็นระยะทางถึง ๓ โยชน์ ด้วยทรงบันดาลมโนมยิทธิ (ฤทธิ์ทางใจ) และด้วยเดชของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ข้าพเจ้า
สมเด็จพระผู้มีพระภาค พระจอมมุนีทรงชนะคำกล่าวใส่ร้ายท่ามกลางชุมชน ของนางจิญจมาณวิกา ผู้ผูกท่อนไม้ซ่อนไว้ที่ท้องแสร้งทำเป็นหญิงมีครรภ์ ด้วยความจริง ด้วยความสงบเยือกเย็นด้วยวิธีสมาธิอันงาม และด้วยเดชของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ข้าพเจ้า
สมเด็จพระผู้มีพระภาค พระจอมมุนีทรงชนะสัจจกนิครนถ์ ผู้เชิดชูลัทธิของตนว่าจริงแท้อย่างเลิศลอย ราวกับชูธงขึ้นฟ้า ผู้มุ่งโต้วาทะกับพระองค์ ด้วยพระปัญญาอันเป็นเลิศดุจประทีปอันโชติช่วง ด้วยเทศนาญาณวิถี และด้วยเดชของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ข้าพเจ้า
สมเด็จพระผู้มีพระภาค พระจอมมุนีทรงชนะพญานาคชื่อนันโทปนันทะ ผู้หลงผิดและมีฤทธิ์มาก ด้วยทรงแนะนำวิธี และ อิทธิฤทธิ์แก่พระโมคคัลลานะ พระเถระภุชงค์ พุทธบุตร ให้ไปปราบจนเชื่อง และด้วยเดชของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ข้าพเจ้า
สมเด็จพระผู้มีพระภาค พระจอมมุนีทรงชนะพรหม ชื่อ ท้าวพูกะ ผู้รัดรึงทิฏฐิ คือ ความเห็นผิดไว้แนบแน่น โดยสำคัญผิดว่าตนบริสุทธิ์มีฤทธิ์รุ่งโรจน์ด้วยวิธีวางยาอันวิเศษ คือ เทศนาญาณ และด้วยเดชของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ข้าพเจ้า
แม้นรชนใดไม่เกียจคร้าน สวดก็ดี ระลึกก็ดี ซึ่งพุทธชัยมงคลคาถา ๘ บทนี้ ทุกวัน ย่อมเป็นเหตุให้พ้นอุปัทวอันตรายทั้งปวง นรชนผู้มีปัญญาย่อมถึงซึ่งความสุขสูงสุดแล สิวโมกข์นฤพานอันเป็นเอกันตบรมสุข
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระผู้ทรงเป็นที่พึ่งของสรรพสัตว์ทรงประกอบด้วยพระมหากรุณา ทรงบำเพ็ญพระบารมีทั้งปวง เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สรรพสัตว์ ทรงบรรลุพระสัมโพธิญาณอันสูงสุด ด้วยการกล่าวสัจจวาจานี้ ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ข้าพเจ้า
ขอข้าพเจ้าจงมีชัยชนะในชัยมงคลพิธี ดุจพระจอมมุนีผู้ยังความปีติยินดีให้เพิ่มพูนแก่ชาวศากยะ ทรงมีชัยชนะมาร ณ โคนต้นมหาโพธิ์ทรงถึงความเป็นเลิศยอดเยี่ยม ทรงปีติปราโมทย์อยู่เหนืออชิตบัลลังก์อันไม่รู้พ่าย ณ โปกขรปฐพี อันเป็นที่อภิเษกของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ฉะนั้นเถิด เวลาที่กำหนดไว้ดี งานมงคลดี รุ่งแจ้งดี ความพยายามดี ชั่วขณะหนึ่งดี ชั่วครู่หนึ่งดี การบูชาดี แด่พระสงฆ์ผู้บริสุทธิ์ กายกรรมอันเป็นกุศล วจีกรรมอันเป็นกุศล มโนกรรมอันเป็นกุศล ความปรารถนาดีอันเป็นกุศล ผู้ได้ประพฤติกรรมอันเป็นกุศล ย่อมประสบความสุขโชคดี เทอญ
ขอสรรพมงคลจงมีแก่ข้าพเจ้า ขอเหล่าเทพยดาทั้งปวงจงรักษาข้าพเจ้า ด้วยอานุภาพแห่งพระพุทธเจ้า ขอความสุขสวัสดีทั้งหลาย จงมีแก่ข้าพเจ้าทุกเมื่อ
ขอสรรพมงคลจงมีแก่ข้าพเจ้า ขอเหล่าเทพยดาทั้งปวงจงรักษาข้าพเจ้า ด้วยอานุภาพแห่งพระธรรม ขอความสุขสวัสดีทั้งหลาย จงมีแก่ข้าพเจ้าทุกเมื่อ
ขอสรรพมงคลจงมีแก่ข้าพเจ้า ขอเหล่าเทพยดาทั้งปวงจงรักษาข้าพเจ้า ด้วยอานุภาพแห่งพระสงฆ์ ขอความสุขสวัสดีทั้งหลาย จงมีแก่ข้าพเจ้าทุกเมื่อ
ขอบคุณ บทความจาก http://www.fungdham.com/pray/pray06.html
Saturday, July 2, 2016
บทสวดธัมมจักกัปปวัตนสูตร
ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร
เอวัมเม สุตัง เอกัง สะมะยัง ภะคะวา พาราณะสิยัง วิหะระติ อิสิปะตะเน มิคะทาเย ตัตฺระ โข ภะคะวา ปัญจะวัคคิเย ภิกขู อามันเตสิ ฯ
เทฺวเม (อ่านว่า ทเว-เม) ภิกขะเว อันตา ปัพพะชิเตนะ นะ เสวิตัพพา โย จายัง กาเมสุ กามะสุขัลลิกานุโยโค หีโน คัมโม โปถุชชะนิโก อะนะริโย อะนัตถะสัญหิโต โย จายัง อัตตะกิละมะถานุโยโค ทุกโข อะนะริโย อะนัตถะสัญหิโต
เอ เต เต ภิกขะเว อุโภ อันเต อะนุปะคัมมะ มัชฌิมา ปะฏิปะทา ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา จักขุกะระณี ญาณะกะระณี อุปะสะมายะ อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ
กะตะมา จะ สา ภิกขะเว มัชฌิมา ปะฏิปะทา ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา จักขุกะระณี ญาณะกะระณี อุปะสะมายะ อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ
อะยะเมวะ อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโค เสยยะถีทัง สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว สัมมาวายาโม สัมมาสะติ สัมมาสะมาธิ
อะยัง โข สา ภิกขะเว มัชฌิมา ปะฏิปะทา ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา จักขุกะระณี ญาณะกะระณี อุปะสะมายะ อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ
อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขัง อะริยะสัจจัง ชาติปิ ทุกขา ชะราปิ ทุกขา มะระณัมปิ ทุกขัง โสกะปะริเทวะทุกขะ โทมะนัสสุปายา สาปิ ทุกขา อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา
อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง ยายัง ตัณหา โปโนพภะวิกา นันทิราคะสะหะคะตา ตัตฺระตัตฺราภินันทินี เสยยะถีทัง กามะตัณหา ภะวะตัณหา วิภะวะตัณหา
อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง โย ตัสสาเยวะ ตัณหายะ อะเสสะวิราคะนิโรโธ จาโค ปะฏินิสสัคโค มุตติ อะนาละโย
อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง
อะยะเมวะ อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโค เสยยะถีทัง สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว สัมมาวายาโม สัมมาสะติ สัมมาสะมาธิ
อิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจัง ปะริญเญยยันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจัง ปะริญญาตันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ
อิทัง ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง ปะหาตัพพันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง ปะหีนันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ
อิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง สัจฉิกาตัพพันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง สัจฉิกะตันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ
อิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง ภาเวตัพพันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง ภาวิตันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ
ยาวะกีวัญจะ เม ภิกขะเว อิเมสุ จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ เอวันติปะริวัฏฏัง ทฺวาทะสาการัง ยะถาภูตัง ญาณะทัสสะนัง นะ สุวิสุทธัง อะโหสิ
เนวะ ตาวาหัง ภิกขะเว สะเทวะเก โลเก สะมาระเก สะพฺรัหฺมะเก สัสสะมะณะพฺราหฺมะณิยา ปะชายะ สะเทวะมะนุสสายะ อะนุตตะรัง สัมมาสัมโพธิง อะภิสัมพุทโธ ปัจจัญญาสิง
ยะโต จะ โข เม ภิกขะเว อิเมสุ จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ เอวันติปะริวัฏฏัง ทฺวาทะสาการัง ยะถาภูตัง ญาณะทัสสะนัง สุวิสุทธัง อะโหสิ
อะถาหัง ภิกขะเว สะเทวะเก โลเก สะมาระเก สะพฺรัหฺมะเก สัสสะมะณะพฺราหฺมะณิยา ปะชายะ สะเทวะมะนุสสายะ อะนุตตะรัง สัมมาสัมโพธิง อะภิสัมพุทโธ ปัจจัญญาสิง
ญาณัญจะ ปะนะ เม ทัสสะนัง อุทะปาทิ อะกุปปา เม วิมุตติ อะยะมันติมา ชาติ นัตถิทานิ ปุนัพภะโวติ
อิทะมะโวจะ ภะคะวา อัตตะมะนา ปัญจะวัคคิยา ภิกขู ภะคะวะโต ภาสิตัง อะภินันทุง อิมัสฺมิญจะ ปะนะ เวยยากะระณัสฺมิง ภัญญะมาเน อายัสฺมะโต โกณฑัญญัสสะ วิระชัง วีตะมะลัง ธัมมะจักขุง อุทะปาทิ ยังกิญจิ สุมุทะยะธัมมัง สัพพันตัง นิโรธะธัมมันติ
ปะวัตติเต จะ ภะคะวะตา ธัมมะจักเก ภุมมา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง เอตัมภะคะวะตา พาราณะสิยัง อิสิปะตะเนมิคะทาเย อะนุตตะรัง ธัมมะจักกัง ปะวัตติตัง อัปปะฏิวัตติยัง สะมะเณนะ วา พฺราหฺมะเณนะ วา เทเวนะ วา มาเรนะ วา พฺรัหฺมุนา วา เกนะจิวา โลกัสฺมินติ
ภุมมานัง เทวานัง สัททัง สุตฺวา
จาตุมมะหาราชิกา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ จาตุมมะหาราชิกานัง เทวานัง สัททัง สุตฺวา
ตาวะติงสา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ ตาวะติงสานัง เทวานัง สัททัง สุตฺวา
ยามา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ ยามานัง เทวานัง สัททัง สุตฺวา
ตุสิตา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ ตุสิตานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
นิมมานะระตี เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ นิมมานะระตีนัง เทวานัง สัททัง สุตวา
ปะระนิมมิตะวะสะวัตตี เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ ปะระนิมมิตะวะสะวัตตีนัง เทวานัง สัททัง สุตวา
พฺรัหฺมะปาริสัชชา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ พฺรัหฺมะปาริสัชชานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
พฺรัหฺมะปะโรหิตา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ พฺรัหฺมะปะโรหิตานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
มะหาพฺรัหฺมา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ มะหาพฺรัหฺมานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
ปะริตตาภา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ ปะริตตาภานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
อัปปะมาณาภา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ อัปปะมาณาภานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
อาภัสสะรา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ อาภัสสะรานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
ปะริตตะสุภา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ ปะริตตะสุภานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
อัปปะมาณะสุภา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ อัปปะมาณะสุภานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
สุภะกิณฺหะกา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ สุภะกิณฺหะกานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
เวหัปผะลา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ เวหัปผะลานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
อะวิหา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ อะวิหานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
อะตัปปา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ อะตัปปานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
สุทัสสา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ สุทัสสานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
สุทัสสี เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ สุทัสสีนัง เทวานัง สัททัง สุตวา
อะกะนิฏฐะกา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ
เอตัมภะคะวะตา พาราณะสิยัง อิสิปะตะเนมิคะทาเย อะนุตตะรัง ธัมมะจักกัง ปะวัตติตัง อัปปะฏิวัตติยัง สะมะเณนะ วา พฺราหฺมะเณนะ วา เทเวนะ วา มาเรนะ วา พรัหมุนา วา เกนะจิ วา โลกัสฺมินติ
อิติหะเตนะ ขะเณนะ เตนะ มุหุตเตนะ ยาวะ พฺรัหฺมะโลกา สัทโท อัพภุคคัจฉิ อะยัญจะ ทะสะสะหัสสี โลกะธาตุ สังกัมปิ สัมปะกัมปิ สัมปะเวธิ อัปปะมาโณ จะ โอฬาโร โอภาโส โลเก ปาตุระโหสิ อะติกกัมเมวะ เทวานัง เทวานุภาวัง
อะถะโข ภะคะวา อุทานัง อุทาเนสิ อัญญาสิ วะตะ โภ โกณฑัญโญ อัญญาสิ วะตะ โภ โกณฑัญโญติ
อิติหิทัง อายัสฺมะโต โกณฑัญญัสสะ อัญญาโกณฑัญโญ เตฺววะ(อ่านว่า ตเว-วะ)นามัง อะโหสีติ
อานิสงค์
ธัมมจักกัปปวัตนสูตร เป็นพระธรรมเทศนากัณฑ์แรกของพระพุทธเจ้า
ธัมมจักกัปปวัตนสูตร เป็นพระสูตรที่หมุนวงล้อแห่งธรรมให้เคลื่อนไป เป็นพระธรรมเทศนากัณฑ์แรกของพระพุทธเจ้า ซึ่งทรงแสดงแก่ปัจจวคีย์ทั้ง ๕ พร้อมทั้งเทวดาและพรหมที่ตามไปฟังธรรมด้วยเป็นอันมาก ณ ป่ามฤคทายวัน ใกล้เมืองพาราณสีนั้น
ด้วยพระสูตรนี้ เป็นพระสูตรบทแรกจึงมีอานิสงค์ในการสวดมาก ตามคัมภีร์กล่าวไว้ดังนี้ “ท่านใดได้สวดจะทำให้ชีวิตมีความเจริญรุ่งเรือง ไม่ว่าจะเป็นกิจการงานแขนงใดที่ทำอยู่จะได้เจริญก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น และยังเป็นบทสวดที่ปลดเปลื้องทุกข์ภัยต่างๆ นานาได้อีกด้วย สิ่งเลวร้ายจะกลายมาเป็นแก้วสารพัดนึกขึ้นมาได้และยังจะทำให้ผู้นั้นมีอายุยืน มีความ สุขกาย สุขใจ ปราศจากทุกข์โศก โรคภัย เมื่อได้สวดประจำทุกคืน ทั้งตื่นและหลับจะกลับกลายเป็นมิ่งมงคลแก่ตัวเอง เมื่อยังมีชีวิตอยู่ก็ได้มีความเจริญก้าวหน้าสถาพร ทรัพย์สมบัติข้าวของบริบูรณ์ เมื่อละไปจากโลกจะ ได้ไปอยู่เป็นสุขในสรวงสวรรค์ชั้นใดชั้นหนึ่งดังที่จิตใจของเราได้เคยสวดสาธยายมาแล้ว”
อานิสงส์ของการสวดธัมมจักกัปปวัตนสูตร(พระคาถาธรรมจักร) ส่งผลข้ามภพ ข้ามชาติ
ท่านผู้มีอภิญญาเคยเล่าให้ผม(เจ้าของเวบเมตตาโฮมเพจ) ฟังว่าในอดีตที่ผ่านมานานแล้ว ได้เข้าพักรักษาร่างกายที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ในวันหนึ่งนั้นมีคุณลุงท่านหนึ่ง มีรูปร่างสูงใหญ่ นำหนังสือสวดมนต์มาให้เล่มหนึ่ง ท่านผู้มีอภิญญาบอกว่าหนูอ่านหนังสือไม่ได้ค่ะ เพราะไม่ได้เรียนหนังสือ คุณลุงบอกว่าหนูอ่านได้ เมื่อคุณลุงกลับไปแล้ว ท่านผู้มีอภิญญาก็ลองเปิดหนังสือสวดมนต์เล่มนั้น หน้าแรกที่เปิดเจอคือบทสวดธัมมจักกัปปวัตนสูตร(พระคาถาธรรมจักร) เมื่อมองไปที่บทสวดนี้ก็มีปาฏิหาริย์บังเกิดขึ้น ทำให้สามารถอ่านหนังสือออกได้โดยอัตโนมัติ จากที่ก่อนหน้านั้นท่านผู้มีอภิญญาอ่านหนังสือไม่ได้ เพราะไม่เคยเรียนหนังสือมาก่อน ท่านผู้มีอภิญญาก็เลยสวดพระคาถาธรรมจักร ได้โดยคล่องแคล้ว โดยเริ่มจาก ภุมมานัง เทวานัง สัททัง สุตวา.......
แสดงให้เห็นว่าในอดีตชาติ ท่านผู้มีอภิญญาคงได้สวดพระคาถาธรรมจักร อยู่เป็นประจำ อานิสงส์การสวดพระคาถาธรรมจักร จึงส่งผลมาถึงชาติปัจจุบัน
เมื่อท่านผู้มีอภิญญาออกจากโรงพยาบาลแล้ว ลูกๆ ก็รู้ว่าคุณแม่สามารถอ่านหนังสือได้แล้ว แต่ยังไม่เชื่อกัน ก็เลยคะยั้นคะยอให้คุณแม่อ่านหนังสือให้ฟัง ท่านผู้มีอภิญญาก็เลยสวดพระคาถาธรรมจักรให้ลูกๆ ฟัง หลังจากนั้นลูกๆ ก็เชื่อแล้วว่าคุณแม่สามารถอ่านหนังสือได้แล้ว และยังมีส่วนทำให้สามารถเขียนหนังสือได้บ้าง
ที่มา http://metharung-background.blogspot.com/
เอวัมเม สุตัง เอกัง สะมะยัง ภะคะวา พาราณะสิยัง วิหะระติ อิสิปะตะเน มิคะทาเย ตัตฺระ โข ภะคะวา ปัญจะวัคคิเย ภิกขู อามันเตสิ ฯ
เทฺวเม (อ่านว่า ทเว-เม) ภิกขะเว อันตา ปัพพะชิเตนะ นะ เสวิตัพพา โย จายัง กาเมสุ กามะสุขัลลิกานุโยโค หีโน คัมโม โปถุชชะนิโก อะนะริโย อะนัตถะสัญหิโต โย จายัง อัตตะกิละมะถานุโยโค ทุกโข อะนะริโย อะนัตถะสัญหิโต
เอ เต เต ภิกขะเว อุโภ อันเต อะนุปะคัมมะ มัชฌิมา ปะฏิปะทา ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา จักขุกะระณี ญาณะกะระณี อุปะสะมายะ อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ
กะตะมา จะ สา ภิกขะเว มัชฌิมา ปะฏิปะทา ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา จักขุกะระณี ญาณะกะระณี อุปะสะมายะ อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ
อะยะเมวะ อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโค เสยยะถีทัง สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว สัมมาวายาโม สัมมาสะติ สัมมาสะมาธิ
อะยัง โข สา ภิกขะเว มัชฌิมา ปะฏิปะทา ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา จักขุกะระณี ญาณะกะระณี อุปะสะมายะ อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ
อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขัง อะริยะสัจจัง ชาติปิ ทุกขา ชะราปิ ทุกขา มะระณัมปิ ทุกขัง โสกะปะริเทวะทุกขะ โทมะนัสสุปายา สาปิ ทุกขา อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา
อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง ยายัง ตัณหา โปโนพภะวิกา นันทิราคะสะหะคะตา ตัตฺระตัตฺราภินันทินี เสยยะถีทัง กามะตัณหา ภะวะตัณหา วิภะวะตัณหา
อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง โย ตัสสาเยวะ ตัณหายะ อะเสสะวิราคะนิโรโธ จาโค ปะฏินิสสัคโค มุตติ อะนาละโย
อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง
อะยะเมวะ อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโค เสยยะถีทัง สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว สัมมาวายาโม สัมมาสะติ สัมมาสะมาธิ
อิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจัง ปะริญเญยยันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจัง ปะริญญาตันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ
อิทัง ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง ปะหาตัพพันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง ปะหีนันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ
อิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง สัจฉิกาตัพพันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง สัจฉิกะตันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ
อิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง ภาเวตัพพันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง ภาวิตันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ
ยาวะกีวัญจะ เม ภิกขะเว อิเมสุ จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ เอวันติปะริวัฏฏัง ทฺวาทะสาการัง ยะถาภูตัง ญาณะทัสสะนัง นะ สุวิสุทธัง อะโหสิ
เนวะ ตาวาหัง ภิกขะเว สะเทวะเก โลเก สะมาระเก สะพฺรัหฺมะเก สัสสะมะณะพฺราหฺมะณิยา ปะชายะ สะเทวะมะนุสสายะ อะนุตตะรัง สัมมาสัมโพธิง อะภิสัมพุทโธ ปัจจัญญาสิง
ยะโต จะ โข เม ภิกขะเว อิเมสุ จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ เอวันติปะริวัฏฏัง ทฺวาทะสาการัง ยะถาภูตัง ญาณะทัสสะนัง สุวิสุทธัง อะโหสิ
อะถาหัง ภิกขะเว สะเทวะเก โลเก สะมาระเก สะพฺรัหฺมะเก สัสสะมะณะพฺราหฺมะณิยา ปะชายะ สะเทวะมะนุสสายะ อะนุตตะรัง สัมมาสัมโพธิง อะภิสัมพุทโธ ปัจจัญญาสิง
ญาณัญจะ ปะนะ เม ทัสสะนัง อุทะปาทิ อะกุปปา เม วิมุตติ อะยะมันติมา ชาติ นัตถิทานิ ปุนัพภะโวติ
อิทะมะโวจะ ภะคะวา อัตตะมะนา ปัญจะวัคคิยา ภิกขู ภะคะวะโต ภาสิตัง อะภินันทุง อิมัสฺมิญจะ ปะนะ เวยยากะระณัสฺมิง ภัญญะมาเน อายัสฺมะโต โกณฑัญญัสสะ วิระชัง วีตะมะลัง ธัมมะจักขุง อุทะปาทิ ยังกิญจิ สุมุทะยะธัมมัง สัพพันตัง นิโรธะธัมมันติ
ปะวัตติเต จะ ภะคะวะตา ธัมมะจักเก ภุมมา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง เอตัมภะคะวะตา พาราณะสิยัง อิสิปะตะเนมิคะทาเย อะนุตตะรัง ธัมมะจักกัง ปะวัตติตัง อัปปะฏิวัตติยัง สะมะเณนะ วา พฺราหฺมะเณนะ วา เทเวนะ วา มาเรนะ วา พฺรัหฺมุนา วา เกนะจิวา โลกัสฺมินติ
ภุมมานัง เทวานัง สัททัง สุตฺวา
จาตุมมะหาราชิกา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ จาตุมมะหาราชิกานัง เทวานัง สัททัง สุตฺวา
ตาวะติงสา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ ตาวะติงสานัง เทวานัง สัททัง สุตฺวา
ยามา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ ยามานัง เทวานัง สัททัง สุตฺวา
ตุสิตา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ ตุสิตานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
นิมมานะระตี เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ นิมมานะระตีนัง เทวานัง สัททัง สุตวา
ปะระนิมมิตะวะสะวัตตี เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ ปะระนิมมิตะวะสะวัตตีนัง เทวานัง สัททัง สุตวา
พฺรัหฺมะปาริสัชชา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ พฺรัหฺมะปาริสัชชานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
พฺรัหฺมะปะโรหิตา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ พฺรัหฺมะปะโรหิตานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
มะหาพฺรัหฺมา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ มะหาพฺรัหฺมานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
ปะริตตาภา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ ปะริตตาภานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
อัปปะมาณาภา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ อัปปะมาณาภานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
อาภัสสะรา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ อาภัสสะรานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
ปะริตตะสุภา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ ปะริตตะสุภานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
อัปปะมาณะสุภา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ อัปปะมาณะสุภานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
สุภะกิณฺหะกา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ สุภะกิณฺหะกานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
เวหัปผะลา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ เวหัปผะลานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
อะวิหา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ อะวิหานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
อะตัปปา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ อะตัปปานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
สุทัสสา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ สุทัสสานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
สุทัสสี เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ สุทัสสีนัง เทวานัง สัททัง สุตวา
อะกะนิฏฐะกา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ
เอตัมภะคะวะตา พาราณะสิยัง อิสิปะตะเนมิคะทาเย อะนุตตะรัง ธัมมะจักกัง ปะวัตติตัง อัปปะฏิวัตติยัง สะมะเณนะ วา พฺราหฺมะเณนะ วา เทเวนะ วา มาเรนะ วา พรัหมุนา วา เกนะจิ วา โลกัสฺมินติ
อิติหะเตนะ ขะเณนะ เตนะ มุหุตเตนะ ยาวะ พฺรัหฺมะโลกา สัทโท อัพภุคคัจฉิ อะยัญจะ ทะสะสะหัสสี โลกะธาตุ สังกัมปิ สัมปะกัมปิ สัมปะเวธิ อัปปะมาโณ จะ โอฬาโร โอภาโส โลเก ปาตุระโหสิ อะติกกัมเมวะ เทวานัง เทวานุภาวัง
อะถะโข ภะคะวา อุทานัง อุทาเนสิ อัญญาสิ วะตะ โภ โกณฑัญโญ อัญญาสิ วะตะ โภ โกณฑัญโญติ
อิติหิทัง อายัสฺมะโต โกณฑัญญัสสะ อัญญาโกณฑัญโญ เตฺววะ(อ่านว่า ตเว-วะ)นามัง อะโหสีติ
อานิสงค์
ธัมมจักกัปปวัตนสูตร เป็นพระธรรมเทศนากัณฑ์แรกของพระพุทธเจ้า
ธัมมจักกัปปวัตนสูตร เป็นพระสูตรที่หมุนวงล้อแห่งธรรมให้เคลื่อนไป เป็นพระธรรมเทศนากัณฑ์แรกของพระพุทธเจ้า ซึ่งทรงแสดงแก่ปัจจวคีย์ทั้ง ๕ พร้อมทั้งเทวดาและพรหมที่ตามไปฟังธรรมด้วยเป็นอันมาก ณ ป่ามฤคทายวัน ใกล้เมืองพาราณสีนั้น
ด้วยพระสูตรนี้ เป็นพระสูตรบทแรกจึงมีอานิสงค์ในการสวดมาก ตามคัมภีร์กล่าวไว้ดังนี้ “ท่านใดได้สวดจะทำให้ชีวิตมีความเจริญรุ่งเรือง ไม่ว่าจะเป็นกิจการงานแขนงใดที่ทำอยู่จะได้เจริญก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น และยังเป็นบทสวดที่ปลดเปลื้องทุกข์ภัยต่างๆ นานาได้อีกด้วย สิ่งเลวร้ายจะกลายมาเป็นแก้วสารพัดนึกขึ้นมาได้และยังจะทำให้ผู้นั้นมีอายุยืน มีความ สุขกาย สุขใจ ปราศจากทุกข์โศก โรคภัย เมื่อได้สวดประจำทุกคืน ทั้งตื่นและหลับจะกลับกลายเป็นมิ่งมงคลแก่ตัวเอง เมื่อยังมีชีวิตอยู่ก็ได้มีความเจริญก้าวหน้าสถาพร ทรัพย์สมบัติข้าวของบริบูรณ์ เมื่อละไปจากโลกจะ ได้ไปอยู่เป็นสุขในสรวงสวรรค์ชั้นใดชั้นหนึ่งดังที่จิตใจของเราได้เคยสวดสาธยายมาแล้ว”
อานิสงส์ของการสวดธัมมจักกัปปวัตนสูตร(พระคาถาธรรมจักร) ส่งผลข้ามภพ ข้ามชาติ
ท่านผู้มีอภิญญาเคยเล่าให้ผม(เจ้าของเวบเมตตาโฮมเพจ) ฟังว่าในอดีตที่ผ่านมานานแล้ว ได้เข้าพักรักษาร่างกายที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ในวันหนึ่งนั้นมีคุณลุงท่านหนึ่ง มีรูปร่างสูงใหญ่ นำหนังสือสวดมนต์มาให้เล่มหนึ่ง ท่านผู้มีอภิญญาบอกว่าหนูอ่านหนังสือไม่ได้ค่ะ เพราะไม่ได้เรียนหนังสือ คุณลุงบอกว่าหนูอ่านได้ เมื่อคุณลุงกลับไปแล้ว ท่านผู้มีอภิญญาก็ลองเปิดหนังสือสวดมนต์เล่มนั้น หน้าแรกที่เปิดเจอคือบทสวดธัมมจักกัปปวัตนสูตร(พระคาถาธรรมจักร) เมื่อมองไปที่บทสวดนี้ก็มีปาฏิหาริย์บังเกิดขึ้น ทำให้สามารถอ่านหนังสือออกได้โดยอัตโนมัติ จากที่ก่อนหน้านั้นท่านผู้มีอภิญญาอ่านหนังสือไม่ได้ เพราะไม่เคยเรียนหนังสือมาก่อน ท่านผู้มีอภิญญาก็เลยสวดพระคาถาธรรมจักร ได้โดยคล่องแคล้ว โดยเริ่มจาก ภุมมานัง เทวานัง สัททัง สุตวา.......
แสดงให้เห็นว่าในอดีตชาติ ท่านผู้มีอภิญญาคงได้สวดพระคาถาธรรมจักร อยู่เป็นประจำ อานิสงส์การสวดพระคาถาธรรมจักร จึงส่งผลมาถึงชาติปัจจุบัน
เมื่อท่านผู้มีอภิญญาออกจากโรงพยาบาลแล้ว ลูกๆ ก็รู้ว่าคุณแม่สามารถอ่านหนังสือได้แล้ว แต่ยังไม่เชื่อกัน ก็เลยคะยั้นคะยอให้คุณแม่อ่านหนังสือให้ฟัง ท่านผู้มีอภิญญาก็เลยสวดพระคาถาธรรมจักรให้ลูกๆ ฟัง หลังจากนั้นลูกๆ ก็เชื่อแล้วว่าคุณแม่สามารถอ่านหนังสือได้แล้ว และยังมีส่วนทำให้สามารถเขียนหนังสือได้บ้าง
ที่มา http://metharung-background.blogspot.com/
Saturday, March 12, 2016
กสิณคืออะไร ฝึกยังไง ได้ผลยังไง
กสิณคืออะไร
กสิณ คือวิธีการปฏิบัติสมาธิแบบหนึ่งในพระพุทธศาสนา มีความหมายว่า เพ่งอารมณ์ เป็นสภาพหยาบ สำหรับให้ผู้ฝึกจับให้ติดตาติดใจ ให้จิตใจจับอยู่ในกสิณใดกสิณหนึ่งใน 10 อย่าง ให้มีอารมณ์เป็นหนึ่งเดียว จิตจะได้อยู่นิ่งไม่ฟุ้งซ่าน มีสภาวะให้จิตจับง่ายมีการทรงฌานถึงฌาน 4 ได้ทั้งหมด กสิณทั้ง 10 เป็นพื้นฐานของอภิญญาสมาบัติ
การเพ่งกสิณนับว่าเป็นอุบายกรรมฐานกองต้นๆ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้ ว่าด้วยการปฏิบัติสมาธิภาวนาเพื่ออบรมจิต (อันเป็นแนวทางแห่งการบรรลุสำเร็จมรรคผลนิพพาน หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารนี้ออกไปได้) ซึ่งอุบายกรรมฐานมีอยู่ด้วยกันทั้งหมดสี่สิบกอง ภายใต้กรรมฐานทั้งสี่สิบกองนั้น จะประกอบไปด้วยกรรมฐานที่เกี่ยวเนื่องกับการเพ่งกสิณอยู่ถึงสิบกองด้วยกัน
การเพ่งกสิณ คือ อาการที่เราเพ่ง (อารมณ์) ไม่ได้หมายถึงเพ่งมอง หรือจ้องมอง ไปยังวัตถุหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อาทิเช่น พระพุทธรูป เทียน สีต่างๆ หรือแม้กระทั่งอากาศ ฯลฯ แล้วเรียนรู้ รับรู้/บันทึก สภาพหรือคุณสมบัติเฉพาะ ของวัตถุ (ธาตุ) หรือสิ่งๆ นั้นไว้เช่น เนื้อ สี สภาพผิว ความหนาแน่น ความ เย็นในจิตจนกระทั่งเมื่อหลับตาลงจะปรากฏภาพนิมิต (นิมิตกสิณ) ของวัตถุหรือสิ่งๆ นั้นขึ้นมาให้เห็นในจิต หรือแม้กระทั่งยามลืมตาก็ยังสามารถมองเห็นภาพนิมิตกสิณดังกล่าวเป็นภาพติดตา
การเพ่งกสิณจัดเป็นอุบายวิธีในการทำสมาธิที่มีดีอยู่ในตัว กล่าวคือ การเพ่งกสิณเป็นเสมือนทางลัดที่จิตใช้ในการเข้าสู่สมาธิได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายกว่าการเลือกใช้อุบายกรรมฐานกองอื่นๆ มากมายนัก ทั้งนี้เนื่องจากแนวทางในการปฏิบัติสมาธิภาวนาด้วยการใช้อุบายวิธีการเพ่งกสิณนั้น จิตจะยึดเอาภาพนิมิตกสิณที่เกิดขึ้นมาเป็นเครื่องรู้ของจิต แทนอารมณ์ต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในจิต และเมื่อภาพนิมิตกสิณเริ่มรวมกันเป็นหนึ่งเดียวกันกับจิต จิตก็จะรับเอาภาพนิมิตกสิณนั้นมาเป็นหนึ่งเดียวกันกับจิต
จากนั้นภาพนิมิตกสิณดังกล่าวจะค่อยๆ พัฒนาไปเองตามความละเอียดของจิต ซึ่งจะส่งผลให้เกิดมีความเปลี่ยนแปลงขึ้นกับภาพนิมิตกสิณนั้น เริ่มตั้งแต่ความคมชัดในการมองเห็นภาพนิมิตกสิณที่ปรากฏขึ้นภายในจิต และสามารถมองเห็นภาพนิมิตกสิณนั้นได้อย่างชัดเจน ราวกับมองเห็นด้วยตาจริงๆ ไปจนกระทั่งการที่จิตสามารถบังคับภาพนิมิตกสิณนั้นให้เลื่อนเข้า-เลื่อนออก หรือหมุนไปทางซ้าย-ทางขวา หรือยืด-หดภาพนิมิตกสิณดังกล่าวได้ อันเป็นพลังจิตที่เกิดขึ้นจากการเพ่งนิมิตกสิณ
แต่ในที่สุดแล้วภาพนิมิตกสิณทั้งหลายก็จะมาถึงจุดแห่งความเป็นอนัตตา อันได้แก่ ความว่างและแสงสว่าง กล่าวคือ ภาพนิมิตทั้งหลายจะหมดไปจากจิต แม้กระทั่งอาการและสัญญาในดวงจิตก็จะจางหายไปด้วย จากนั้นจิตจึงเข้าสู่กระบวนการของสมาธิในขั้นฌานต่อไปตามลำดับ
กสิณทั้ง 10 อย่าง แบ่งออกเป็น 2 พวก
• พวกที่หนึ่ง คือ กสิณกลาง มี 6 อย่าง คนทุกจริตฝึกกสิณได้ทั้ง 6 เพราะเหมาะกับทุกอารมณ์ ทุกอุปนิสัยของคน
ปฐวีกสิณ (ธาตุดิน/ของแข็ง ไม่ใช่เฉพาะดิน) จิตเพ่งดิน โดยกำหนดว่าสิ่งนี้เป็นดิน หายใจเข้าให้ภาวนาว่า "ปฐวี" หายใจออกให้ภาวนาว่า "กสิณัง" เมื่อปฏิบัติอยู่ดังนี้ ก็จะข่มนิวรณ์ธรรมเสียได้โดยลำดับ กิเลศก็จะสงบระงับจากสันดาน สมาธิก็จะกล้าขึ้น จิตนั้นก็ชื่อว่าตั้งมั่น เป็นอุปจารสมาธิ เมื่อทำได้สำเร็จปฐมฌานแล้ว ก็พึงปฏิบัติในปฐมฌานนั้นให้ชำนาญคล่องแคล่วด้วยดีก่อนแล้วจึงเจริญทุติยฌานสืบต่อไปได้
เตโชกสิณ (ธาตุไฟ ธาตุร้อน) จิตเพ่งไฟ คือการเพ่งเปลวไฟ โดยกำหนดว่าสิ่งนี้เป็นไฟ หายใจเข้าให้ภาวนาว่า "เตโช" หายใจออกภาวนาว่า "กสิณัง"
วาโยกสิณ (ธาตุลม) จิตเพ่งอยู่กับลม นึกถึงภาพลม โดยกำหนดว่าสิ่งนี้เป็นลม หายใจเข้าให้ภาวนาว่า "วาโย" หายใจออกภาวนาว่า "กสิณัง"
อากาสกสิณ (ช่องว่าง) จิตเพ่งอยู่กับอากาศ นึกถึงอากาศ คือการเพ่งช่องว่าง โดยกำหนดว่าสิ่งนี้เป็นช่องว่าง เวลาหายใจเข้าให้ภาวนาว่า "อากาศ" หายใจออกภาวนาว่า "กสิณัง"
อาโลกสิณ (กสิณแสงสว่าง) จิตเพ่งอยู่กับแสงสว่าง นึกถึงแสงสว่าง วิธีเจริญอาโลกกสิณให้ผู้ปฏิบัติยึดโดยทำความรู้สึกถึงความสว่าง ไม่ใช่เพ่งที่สีของแสงนั้น เวลาหายใจเข้าให้ภาวนาว่า "อาโลก" หายใจออกให้ภาวนาว่า "กสิณัง"
อาโปกสิณ (ธาตุน้ำ/ของเหลว) จิตนึกถึงน้ำเพ่งน้ำไว้ คือการเพ่งน้ำ โดยกำหนดว่าสิ่งนี้เป็นน้ำ หายใจเข้าให้ภาวนาว่า "อาโป" หายใจออกภาวนาว่า "กสิณัง" ให้เลือกภาวนากสิณใดกสิณหนึ่งให้ได้ถึงฌาน 4 หรือฌาน 5 กสิณอื่นๆ ก็ทำได้ง่ายทั้งหมด
• พวกที่สองคือกสิณเฉพาะอุปนิสัยหรือเฉพาะจริตมี 4 อย่าง สำหรับคนโกรธง่าย คือพวกโทสจริต
โลหิตกสิณ เพ่งกสิณ หรือนิมิตสีแดงจะเป็นดอกไม้แดง เลือดแดง หรือผ้าสีแดงก็ได้ทั้งนั้นจิตนึกภาพสีแดงแล้วภาวนาว่า โลหิต กสิณัง
นีลกสิณ ตาดูสีเขียวใบไม้ หญ้า หรืออะไรก็ได้ที่เป็นสีเขียว แล้วหลับตาจิตนึกถึงภาพสีเขียว ภาวนาว่า นีล กสิณัง
ปีตกสิณ จิตเพ่งของอะไรก็ได้ที่เป็นสีเหลือง ภาวนาว่า ปีต กสิณัง
โอทากสิณ ตาเพ่งสีขาวอะไรก็ได้แล้วแต่สะดวก แล้วหลับตานึกถึงภาพสีขาว ภาวนาโอทา กสิณัง จนจิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งไม่วอกแวกไม่รู้ลมหายใจภาพกสิณชัดเจน
ท่านว่าจิตเข้าถึงฌาน 4 พอถึงฌานที่ 5 ก็เป็นจิตเฉยมีอุเบกขาอยู่กับภาพกสิณต่างๆ ที่จิตจับเอาไว้
อานุภาพกสิณ 10
กสิณ 10 ประการนี้ เป็นปัจจัยให้แสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ตามนัยที่กล่าวมาแล้วในฉฬภิญโญ เมื่อบำเพ็ญปฏิบัติใน กสิณกองใดกองหนึ่งสำเร็จถึงจตตุถฌานแล้ว ก็ควรฝึกตามอำนาจที่กสิณกองนั้นมีอยู่ให้ชำนาญ ถ้าท่านปฏิบัติถึงฌาน 4 แล้ว แต่มิได้ฝึกอธิษฐานต่างๆ ตามแบบ กล่าวกันว่าผู้นั้นยังไม่จัดว่าเป็นผู้เข้าฌานถึงกสิณ
อำนาจฤทธิ์ในกสิณในทางพุทธศาสนามีดังนี้
ปฐวีกสิณ มีฤทธิ์ดังนี้ เช่น เนรมิตคนๆ เดียวให้เป็นคนมากๆ ได้ ให้คนมากเป็นคนๆ เดียวได้ ทำน้ำและอากาศให้แข็งได้ สามารถย่อแผ่นดินให้ใกล้กำลังการในเดินทาง
อาโปกสิณ สามารถเนรมิตของแข็งให้อ่อนได้ เช่นอธิษฐานสถานที่เป็นดินหรือหรือหินที่กันดารน้ำให้เกิดบ่อน้ำ อธิษฐานหินดินเหล็กให้อ่อน อธิษฐานในสถานที่ขาดแคลนฝน ให้เกิดมีฝนอย่างนี้เป็นต้น
เตโชกสิณ อธิษฐานให้เกิดเป็นเพลิงเผาผลาญหรือให้เกิดแสงสว่างได้ ทำแสงสว่างให้เกิดแก่จักษุญาณ สามารถเห็นภาพต่าง ๆ ในที่ไกลได้คล้ายตาทิพย์ ทำให้เกิดความร้อนในที่ทุกสถานได้ เมื่ออากาศหนาว สามารถทำให้เกิดความอบอุ่นได้
วาโยกสิณ อธิษฐานจิตให้ตัวลอยตามลม หรืออธิษฐานให้ตัวเบา เหาะไปในอากาศก็ได้ สถานที่ใดไม่มีลมอธิษฐานให้มีลมได้
นีลกสิณ สามารถทำให้เกิดสีเขียว หรือทำสถานที่สว่างให้มืดครึ้มได้
ปีตกสิณ สามารถเนรมิตสีเหลืองหรือสีทองให้เกิดได้
โลหิตกสิณ สามารถเนรมิตสีแดงให้เกิดได้ตามความประสงค์
โอทากสิณ สามารถเนรมิตสีขาวให้ปรากฏ และทำให้เกิดแสงสว่างได้ เป็นกรรมฐาน ที่อำนวยประโยชน์ในทิพยจักขุญาณ เช่นเดียวกับเตโชกสิณ
อาโลกสิณ เนรมิตรูปให้มีรัศมีสว่างไสวได้ ทำที่มืดให้เกิดแสงสว่างได้เป็นกรรมฐานสร้างทิพยจักขุญาณโดยตรง
อากาสกสิณ สามารถอธิษฐานจิตให้เห็นของที่ปกปิดไว้ได้ เหมือนของนั้นวางอยู่ในที่แจ้ง สถานที่ใดเป็นอับด้วยอากาศ สามารถอธิษฐานให้เกิดความโปร่งมีอากาศสมบูรณ์เพียงพอแก่ความต้องการได้
วิธีอธิษฐานฤทธิ์
วิธีอธิษฐานจิตที่จะให้เกิดผลตามฤทธิ์ที่ต้องการท่านให้ทำดังต่อไปนี้ ท่านให้เข้าฌาน 4 ก่อน
แล้วออกจากฌาน 4
แล้วอธิษฐานจิตในสิ่งที่ตนต้องการจะให้เป็นอย่างนั้น
แล้วกลับเข้าฌาน 4 อีก
ออกจากฌาน 4
แล้วอธิษฐานจิตทับลงไปอีกครั้ง สิ่งที่ต้องการจะปรากฏสมความปรารถนา
ภาพ เเละ ที่มา จากเวป
การทำบุญส่งผลกับเราอย่างไรบ้าง
การทำบุญส่งผลกับเราอย่างไรบ้าง
นอกจากนี้การทำบุญยังมีอีกหลายประเภท มีผลบุญที่เราจะได้รับมากมาย ไม่ต้องใช้เงินมาก หรือ ต้องไปกู้หนี้ยืมสินชาวบ้าน เค้ามาทำบุญ อย่างนี้ ได้บุญหรือเปล่าไปกู้เค้ามาทำบุญ ผมคิดว่า คงได้บุญ เเต่มันไม่ถูกต้อง ถ้าเรามีเงิน 500 บาท ซึ่งเเน่นอนเงินจำนวน นี้เป็นเงินเก็บต่อเดือน 500 เจียดมาทำบุญ ซัก 50-100 หรือ 1 บาท หรือ 50 สตางค์ ถ้าท่านมีจิตใจที่จะทำบุญจริงๆ ท่านก็ได้บุญมากมายเเล้ว การทำบุญโดยที่ทำให้ตัวเองเดือนดร้อน หรือ คนอื่นเดือดร้อนเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำครับ มีน้อยทำน้อย สะสมไปเรื่อยๆ อย่างนี้ได้บุญมากกว่า อย่างผมตอนนี้หาข้อมูลมาลงให้ท่านๆอ่าน ผมก็กำลังสร้างธรรมทาน อยู่ จะให้ผมไป พิมพ์หนังสือเเจก ตอนนี้ยังไม่มีกำลัง ขนาดนั้น ก็ขอ หาข้อมูลให้พวกท่านอ่านเเล้วกัน
ถ้าใครเปิด google มาเจอ ก็ขอให้ท่านทำเเต่ความดี ถ้าเมื่อไหร่ท้อ หรือ รู้สึกเเย่ในชีวิต เเนะนำให้นั่งสมาธิ เจริญภาวนา หรือ ท่านโกรธเกลียดใคร ก็ให้ทำบุญเเล้วเเผ่เมตตาให้ คนที่ท่านเกลียด หรือ ไม่ชอบ อย่างนี้ ท่านจะได้บุญ มากมายเลยโดยไม่ต้องเสียเงินอะไรมากมากมาย เช่น ท่านเกลียด นาย ก นาง ข ให้ท่านสวดมนต์ นั่งสมาธิ ซัก 1-5 นาทิทำใจจิตใจให้สงบ เเละ เเผ่เมตตาให้เค้า ขอให้คนพวกนี้ มีความสุขกาย สบายใจ เเละให้พวกเค้าหายจากโรคภัยที่เป็นอยู่ ถ้าท่านทำเเบบนี้ไปเรื่อย จากคนที่ท่านเกลียด เค้าอาจจะกลายมาเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของท่านก็เป็นได้
ผลบุญจากการทำความสะอาดเจดีย์ วัด ห้องน้ำวัด หรือ ที่ทำ บุญด้วยการทำความสะอาดเจดีย์ นับว่าได้รับอานิสงส์ที่ยิ่งใหญ่เช่นกัน เพราะจะทำให้ชีวิตมีแต่ความสงบราบรื่น คิดจะทำสิ่งใดก็ไร้อุปสรรค หากตายไปแล้วก็จะได้ไปจุติในแดนสวรรค์ มีผู้คนและบริวารห้อมล้อมและปรนนิบัติตลอด นับว่าจะได้รับอานิสงส์นี้ทุกชาติๆ ไปเลยทีเดียวจิตใจนั้นก็ค่อนข้างดีงาม พ้นจากกิเลส ใครๆ ก็อยากอยู่ใกล้เสมอ เพราะมีแต่ความเมตตานั่นเอง
การทำบุญประเภทต่างๆ
อานิสงส์จากการทำบุญแบบต่างๆ
อานิสงส์ผลบุญจากการทำบุญแบบต่างๆ
1.การทำบุญด้วยการถวายจีวร
ผู้ที่ทำ บุญด้วยการถวายจีวรแด่พระสงฆ์ จะได้รับอานิสงส์ที่ยิ่งใหญ่ จะเป็นผู้ที่พร้อมด้วยเสื้อผ้า อาภรณ์ และเครื่องประดับ มีแต่ผู้คนให้ความเคารพยกย่อง มีเกียรติ เป็นที่ยอมรับของคนทุกหมู่เหล่าเมื่อใดก็ตามจะต้องพบกับความมีอุปสรรค อุปสรรคนั้นจะผ่านพ้นไปด้วยดี ภยันตรายอื่นๆ อย่างสัตว์มีพิษและของมีคมต่างๆ ก็ทำร้ายไม่ได้ อานิสงส์ที่จะเกิดขึ้นในชาติหน้า จะเกิดมาเป็นผู้ที่มีความเพียบพร้อมด้วยหน้าตาที่งดงาม และสติปัญญาที่น่านับถืออย่างยิ่ง
2.การทำบุญด้วยการถวายเตียงนอน
ผู้ที่ทำ บุญด้วยการถวายเตียงนอนแด่พระสงฆ์ จะได้รับอานิสงส์ผลบุญในเรื่องของความเป็นอยู่ที่สุขสบาย จะได้นอนหลับในที่ที่อุ่นในยามหนาว เย็นสบายในช่วงฤดูร้อน ในเรื่อง ของสุขภาพก็มักจะไม่เจ็บป่วยง่าย ร่างกายแข็งแรงหากคิดจะเอาดีทางด้านการกีฬา ก็จะโด่งดังในระดับโลก เพราะจะเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ในด้านนี้มาก เมื่อชีวิตเข้าสู่วัยชรา ก็จะมีลูกหลานมาดูแล ไม่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว นับว่าสบายตั้งแต่เกิดจนตาย
3.การทำบุญด้วยการถวายหมอน
ผู้ที่ทำ บุญด้วยการถวายหมอน จะได้รับอานิสงส์ในเรื่องของการเป็นผู้ที่มีความอดทนอดกลั้นเหนือผู้อื่น หากอยู่ในการแข่งขันจะเป็นบุคคลที่สร้างความกดดันให้แก่คู่ต่อสู้อย่างมาก ทำการงานใดก็จะสำเร็จ เพราะไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยหรือท้อแท้ง่าย อีกทั้งหากจะทำการงานใดก็จะมีคนคอยอุปถัมภ์ค้ำชูอยู่เสมอ
4.การทำบุญด้วยยาดม ยานัตถุ์
ผู้ที่ทำ บุญด้วยยาดม หรือยานัตถุ์ จะได้รับอานิสงส์ผลบุญส่งให้เป็นผู้ปลอดภัยจากโรคเกี่ยวกับจมูกทั้งปวง จะได้รับรส และกลิ่นที่งดงามอย่างกลิ่นของพระธรรม เกียรติยศ ชื่อเสียงต่างๆ จะขจรขจายไปทั่ว จนผู้คนต่างพากันชื่นชมในคุณงามความดีที่คุณได้สั่งสมเอาไว้ บริวารต่างพากันเคารพ และคอยปกป้องไม่ให้ได้รับอันตราย จึงเป็นผู้ที่ได้รับการปกป้องเป็นอย่างดีจากผู้อื่น
5.การทำบุญด้วยร่ม
ผู้ที่ทำ บุญด้วยการถวายร่ม จะได้รับอานิสงส์ส่งผลให้ชีวิตมีแต่ความร่มเย็นเป็นสุข แม้ในยามที่ตกทุกข์ชะตาดับ ก็จะเกิดปาฏิหาริย์กลายเป็นดีได้ในทุกครั้ง
นอกจาก นี้ยังเป็นผู้อุดมด้วยบุญบารมี แผ่ขยายไปทั่วจนเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้ผู้อื่นได้ด้วย จึงมีแต่คนเคารพนับถือ และยอมรับในความกรุณาอย่างดียิ่ง ในบั้นปลายชีวิตก็จะพบแต่ความสุขที่แท้จริง ไม่ต้องอยู่โดดเดี่ยวแน่นอน
6.การทำบุญด้วยไม้กลอนประตู
ผู้ที่ทำบุญด้วยการถวายไม้กลอนประตู จะได้รับอานิสงส์ส่งผลให้เป็นผู้ที่มีความกล้าหาญในทุกๆ เรื่อง จึงได้รับโอกาสดีๆ อยู่เสมอ จะได้รับ การปกป้องคุ้มครองเป็นอย่างดีจากคนรอบข้าง ไม่ต้องทุกข์กาย ทุกข์ใจ ชีวิตจะสุขสบายตั้งแต่เกิดจนตาย เพราะหนทางโรยด้วยกลีบกุหลาบอยู่แล้ว นับว่าเป็นความโชคดีอย่างมาก
7.การทำบุญด้วยน้ำมันนวด
ผู้ที่ทำ บุญด้วยการถวายน้ำมันนวด จะได้รับอานิสงส์ผลบุญทำให้เป็นผู้ที่พรั่งพร้อมไปด้วยบริวารที่คอย ปรนนิบัติพัดวีอย่างใกล้ชิด หากจะทำสิ่งใดก็จะมีที่ปรึกษา ส่งเสริมทั้งกำลังกาย ใจ สติปัญญาและกำลังทรัพย์ ส่วนการ เจ็บไข้โดยเฉพาะอาการปวดเมื่อยต่างๆ จะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน จะเป็นผู้ที่มีกำลังวังชาดี หากจะเป็นนักกีฬา ก็จะโด่งดังระดับโลก หรือหากจะรับราชการทหารหรือตำรวจก็น่าสนับสนุนส่งเสริม เพราะจะได้เป็นผู้บัญชาการอย่างรวดเร็ว
8.การทำบุญด้วยพัด
ผู้ที่ทำ บุญด้วยพัด จะได้รับผลบุญในเรื่องของสุขภาพกายและใจที่แข็งแรง ชีวิตจะมีเรื่องสบายใจ ลูกหลานก็เป็นคนดีมีศีลธรรม ไม่สร้างเรื่องทุกข์กาย ทุกข์ใจใดๆ ให้เลยแม้แต่น้อย เกียรติยศและชื่อเสียงจะโด่งดัง และมีแต่คนยอมรับนับถือจำนวนมาก ในโลกหน้าก็จะพบแต่ความสุขสำราญกายใจเช่นชาตินี้
9.การทำบุญด้วยรองเท้า
ผู้ที่ทำบุญด้วยรองเท้า จะเป็นผู้ที่ได้รับอานิสงส์ของการเป็นผู้มีบริวารมาก จะมีคนคอยให้ความช่วยเหลือและยกย่องเชิดชูเป็นอย่างดี ในเรื่อง ของโรคเกี่ยวกับเท้าก็หมดไป ไม่มีปัญหาเรื่องนี้ และหากจะท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ ก็ทำได้ง่าย ถึงจุดหมายอย่างปลอดภัยเพราะจะได้เป็นนักเดินทางที่มีชื่อเสียง ตลอดการเดินทางก็จะได้เรียนรู้ และศึกษาสิ่งต่างๆ เสมอ จะเป็นผู้ที่มีประสบการณ์สูงมากคนหนึ่ง
10.การทำบุญด้วยกุญแจ
ผู้ที่ทำบุญด้วยกุญแจจะเป็นผู้ที่มีความเจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน คิดอะไรก็แตกฉาน ไม่มีปัญหาอะไรที่แก้ไขไม่ได้หากคิดจะทำ อีกทั้ง ชีวิตยังมีแต่ความปลอดภัย ภยันตรายก็ไม่กล้ามากล้ำกรายอย่างแน่นอน ส่วนในชาติหน้าก็จะเกิดเป็นผู้ที่มีชื่อเสียง เป็นที่รู้จักทั่วทั้งแผ่นดิน
11.การทำบุญด้วยการถวายที่ดิน
ผู้ที่ทำ บุญด้วยการถวายที่ดินแด่พระสงฆ์ นับว่าเป็นการสร้างบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ จะได้เป็นใหญ่เป็นโต เป็นผู้ปกครองแผ่นดินหรือบริหารประเทศ ความที่ เป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่จึงมีคนพากันยกย่องสรรเสริญจำนวนมาก ในเรื่องของความมั่นคงทางกายและใจ ไม่มีปัญหาอะไรเลยเพราะเป็นผู้ที่หนักแน่น ทำการใดก็เจริญและได้รับการยอมรับอยู่ตลอด จะมีความสุขทั้งชีวิตเลยทีเดียว
12.การทำบุญด้วยการทำความสะอาดเจดีย์
ผู้ที่ทำ บุญด้วยการทำความสะอาดเจดีย์ นับว่าได้รับอานิสงส์ที่ยิ่งใหญ่เช่นกัน เพราะจะทำให้ชีวิตมีแต่ความสงบราบรื่น คิดจะทำสิ่งใดก็ไร้อุปสรรค หากตายไปแล้วก็จะได้ไปจุติในแดนสวรรค์ มีผู้คนและบริวารห้อมล้อมและปรนนิบัติตลอด นับว่าจะได้รับอานิสงส์นี้ทุกชาติๆ ไปเลยทีเดียว
จิตใจนั้นก็ค่อนข้างดีงาม พ้นจากกิเลส ใครๆ ก็อยากอยู่ใกล้เสมอ เพราะมีแต่ความเมตตานั่นเอง
13.การทำบุญด้วยการถวายไม้เท้าค้ำยัน
ผู้ที่ทำ บุญด้วยการถวายไม้เท้าค้ำยันแด่พระสงฆ์ ผลบุญนี้จะทำให้ได้รับความสบายใจในการครองชีวิต ไม่ต้องพบเจอกับปัญหาอุปสรรค จะมีคนคอยปกป้องรักษาให้แคล้วคลาดจากภยันตรายต่างๆ
จะมีลูกก็จะพึ่งพิงได้ ลูกจะดี ไม่นำเรื่องหนักใจมาให้ จะเป็นคน ที่มีชีวิตที่มั่นคง เหมือนไม้เท้าคอยค้ำยันไว้ กล้าหาญในการทำกิจต่างๆ ทำให้คนรอบข้างที่คิดร้ายหวาดกลัวและพ่ายแพ้ไปในที่สุด โดยส่วนใหญ่แล้วผลบุญนี้จะส่งผลให้เป็นคนดวงแข็ง
14.การทำบุญด้วยการไหว้พระพุทธรูปด้วยจิตศรัทธา
ผู้ที่ทำบุญด้วยการไหว้พระพุทธรูปด้วยจิตที่ศรัทธานั้นจะได้รับอานิสงส์ คือ อานิสงส์นี้จะไปเสริมดวงให้เป็นที่เคารพนับถือ ชีวิตครอบครัวก็จะสุขสบาย เป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงและน่าสรรเสริญ
ปราศจากศัตรูที่คิดร้าย คนคิดร้ายก็จะสำนึกในความดีต่างๆ แล้วพ่ายแพ้ไป เส้นทางชีวิตมีแต่ความสุข สงบ พบเจอแต่เรื่องดีๆ ในชีวิต จะมีสติดี ทำให้ประสบความสำเร็จในเรื่องที่หวังได้ง่าย
15.การทำบุญด้วยดอกไม้ ธูปเทียน
ผู้ที่ทำ บุญด้วยการถวายดอกไม้ ธูปเทียน จะได้รับอานิสงส์ผลบุญในส่วนของการมีสติปัญญาที่ฉลาดปราดเปรื่อง รู้จักแก้ไขปัญหาจัดการเรื่องต่างๆ กับชีวิตของตนได้เป็นอย่างดี หากคิดจะวางแผนก็เป็นนักวางแผนตัวสำคัญ ในเรื่องของรูปร่างหน้าตาก็สง่างาม เป็นหญิงอย่างกุลสตรี เป็นชายก็สมชายชาตรี ใครเห็นก็รักใคร่ชอบพอกันทุกคน ส่วนใหญ่ แล้วอานิสงส์นี้จะผลักดันให้ผู้ที่ทำบุญพบกับความสำเร็จ ชื่อเสียงโด่งดัง จนเป็นที่ยอมรับของคนทุกเพศทุกวัย นับเป็นบุญกุศลที่สูงส่งยิ่ง
16.การทำบุญด้วยกรรไกรตัดเล็บ
ผู้ที่ทำ บุญด้วยกรรไกรตัดเล็บนั้น จะได้รับผลบุญส่งให้ชีวิตของคุณพบกับความบริสุทธิ์ ปราศจากความเศร้าหมองใดๆ อันตรายต่างๆ ที่จะเข้าใกล้ก็จะไม่กล้ำกราย ชีวิตจะมีแต่ความสุข อานิสงส์นี้ยังส่งผลถึงครอบครัวให้ได้รับความสุขมากขึ้นด้วย นอกจาก นี้ยังจะเป็นผลดีในส่วนของการได้รับความช่วยเหลือเกื้อกูลจากผู้ใหญ่ที่เขา เอ็นดูคุณเป็นอย่างดี ในยามที่ตกต่ำ ไม่นานจะกลับมามีชีวิตสดใสได้ทุกครั้ง นับว่าเป็นบุคคลที่โชคดีมากคนหนึ่ง
17.การทำบุญด้วยการถวายมีดโกน
ผู้ที่ทำ บุญด้วยการถวายมีดโกนแด่พระภิกษุสงฆ์ อานิสงส์ที่ได้รับจะส่งผลต่อการดำรงชีวิต เพราะจะเป็นผู้ที่มีสมาธิ ทำสิ่งต่างๆ ได้อย่างละเอียดรอบคอบ จะเป็นผู้ที่ขยันขันแข็ง ไม่ยุ่งเกี่ยวกับอบายมุขทั้งหลาย ทำให้ประสบความสำเร็จในบั้นปลาย สุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยได้ง่ายๆ มีจิตใจที่ผ่องแผ้ว สุขทั้งกายและใจ อุปสรรคที่ต้องเผชิญก็มลายหาย
18.การทำบุญด้วยการถวายตะเกียง
ผู้ที่ทำ บุญด้วยการถวายตะเกียงแด่พระสงฆ์จะได้รับอานิสงส์ที่ยิ่งใหญ่ จะเป็นผู้ที่มีชีวิตที่ราบรื่น เหมือนมีไฟส่องทางให้ ทำให้ไม่พบเจอปัญหาหรืออุปสรรคที่ยากจะผ่านไปได้ การเรียนหรือการทำงานก็จะเป็นเลิศ เพราะสติปัญญาดีมาก หัวไว และแก้ปัญหาต่างๆ ได้ดี แม้ศึกษาธรรมก็จะรู้ได้อย่างแตกฉาน เป็นผู้ที่วางตัวดี คนรอบข้างเคารพและเชื่อถือในคำพูด ทำดีจะเห็นผลเร็ว มีชีวิตที่รุ่งโรจน์ไม่มีตก
19.ทำบุญด้วยการถวายตู้ใส่พระไตรปิฎก
ผู้ที่ทำ บุญด้วยการถวายตู้ใส่พระไตรปิฎก จะได้รับอานิสงส์ผลบุญอย่างมากมายในเรื่องของความพร้อมด้านรูปโฉม และความเจริญทางด้านสติปัญญา จะเป็นผู้ที่มีไหวพริบ ชาญฉลาด สามารถหาทางออกที่ดีให้กับชีวิตได้ตลอด ความงดงามทางรูปร่างหน้าตา ทำให้เป็นคนที่มีเสน่ห์ เป็นที่รักและชื่นชมของคนทั่วไป นอกจากนี้แล้วการทำบุญด้วยวิธีนี้ จะช่วยส่งเสริมให้ชีวิตของคุณไม่โดดเดี่ยว จะมีคนมาอยู่ใกล้ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนฝูงหรือว่าญาติ ทั้งในยามทุกข์และสุข จะไม่มีวันตกต่ำอย่างแน่นอน นับว่าการทำบุญด้วยวิธีนี้ เป็นกุศลที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งทีเดียว
20.การทำบุญด้วยการสร้างพระพุทธรูป
ผู้ที่ทำ บุญด้วยการสร้างพระพุทธรูป ให้เป็นที่สักการบูชาจะเป็นผู้ที่ได้รับอานิสงส์ที่ยิ่งใหญ่มาก เพราะไม่ว่าจะเกิดในชาติใดก็ตาม จะเป็นผู้ที่พร้อมด้วยทรัพย์ สติปัญญา และรูปโฉม
ทำสิ่งใด ก็ตามจะมีบริวาร ผู้คอยช่วยเหลือ และสนับสนุนเป็นอย่างดียิ่ง ในด้านของจิตใจนั้น จะเป็นผู้ที่มีจิตใจดีงาม ยึดมั่นในหลักธรรมคำสอนเป็นอย่างดี หากเป็นผู้นำในเรื่องใดก็จะสำเร็จและพาลูกน้องพบกับความสุขได้เสมอ การวางแผนก็จะเป็นนักคิดที่แยบคาย รู้ทันเหตุการณ์ต่างๆ เป็นอย่างดี อานิสงส์นี้จะทำให้คุณใช้ชีวิตสุขสบายอย่างมาก
21.การทำบุญด้วยการสร้างกุฏิ
ผู้ที่ทำ บุญด้วยการสร้างกุฏิถวายแด่พระสงฆ์ จะได้รับอานิสงส์กลับคืนมาในเรื่องของความเป็นอยู่ จะมีชีวิตที่สุขสบายไม่ลำบาก ครอบครัวก็จะรักใคร่ปรองดองกัน มีความมั่นคงในชีวิต
ด้านร่างกาย ก็จะเป็นผู้ที่มีความรู้ดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเรียนทางด้านใดก็จะเรียนรู้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
บุคคลที่คิดร้ายก็จะต้องแพ้ภัยตนเอง จะปลอดภัยจากสัตว์ร้ายและอาวุธต่างๆ มีอายุยืนยาว
22.การทำบุญด้วยการบูรณะพระพุทธรูป
ผู้ที่ทำ บุญด้วยการบูรณะพระพุทธรูปแด่พระสงฆ์ จะได้รับอานิสงส์อันแรงกล้า สุขภาพแข็งแรง ไม่เจ็บป่วย ร่างกายสมบูรณ์ครบอาการ 32 ผิวพรรณงามเปล่งปลั่ง ไม่แก่เร็ว ความเป็นอยู่ดี มั่งคั่ง ทำมาค้าขึ้น มักจะได้ลาภลอยอยู่บ่อยๆ ไปไหนก็มักจะเป็นที่ต้องตาต้องใจของผู้พบเห็น ใครเห็นใครก็รัก พูดจาอะไรก็จะเป็นที่เชื่อถือ เป็นที่นับหน้าถือตา ชาติหน้าก็จะเป็นผู้ที่สวยทั้งรูปกายและรูปสมบัติ
23.การทำบุญด้วยการถวายภาชนะต่างๆ
ผู้ที่ทำ บุญด้วยการถวายภาชนะต่างๆ แด่พระภิกษุสงฆ์ บุคคลผู้นั้นจะได้รับอานิสงส์ที่ยิ่งใหญ่ ชีวิตพรั่งพร้อมไปด้วยบริวาร มีแต่คนอาสาที่จะช่วยเหลือ หากประสบปัญหาใดก็ตาม บริวารจะเป็นที่รับฟังและเป็นที่ปรึกษาที่ดีอย่างยิ่ง ในการติดต่อ เจรจา จะประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เพราะเป็นผู้ที่มีทักษะในการพูดเป็นเลิศ เรียนด้านใดก็มักจะได้ดีกว่าผู้อื่น หัวไว และมีพรสวรรค์ในทุกๆ ด้าน เมื่อมุ่งไปทางใดแล้วก็จะทำได้ดี ยามแก่เฒ่าก็จะมีคนดูแล ชีวิตไม่ขัดสน
24.การทำบุญด้วยการสร้างสะพาน
ผู้ที่ทำ บุญด้วยการสร้างสะพาน จะได้รับอานิสงส์ในผลบุญนั้นอย่างสูงส่ง คือในยามยาก็มีผู้เข้ามาช่วยเหลือ จะมีแต่คนหยิบยื่นน้ำใจให้อยู่เสมอ เป็นที่รักของคนรอบข้าง การงานก็จะมีความมั่นคง ถึงเริ่มกระทำสิ่งใดไม่นาน ก็จะมีผู้ใหญ่เห็นความตั้งใจ และหยิบยื่นตำแหน่งหน้าที่ที่สูงขึ้นให้
ชีวิตครอบครัวก็เหมือนกับสะพาน ซึ่งแข็งแกร่ง มั่นคง อานิสงส์นี้ส่งผลให้เห็นทางสว่างทุกครั้งที่มืดมนเหมือนมีคนมาชี้ทางให้
25.การทำบุญด้วยการบูชาพระบรมสารีริกธาตุ
ผู้ที่ทำ บุญด้วยการบูชาพระบรมสารีริกธาตุ จะเป็นผู้ที่ได้รับอานิสงส์อย่างแรงกล้า การบูชาพระบรมสารีริกธาตุ ถือเป็นการบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อานิสงส์ผลบุญดังกล่าวจะส่งผลให้ผู้ที่ทำบุญด้วยวิธีนี้มีอำนาจ บุญวาสนามีสูง ทำการงานก็สำเร็จเจริญก้าวหน้าอย่างไร้อุปสรรค
ชีวิตของ คุณจะมีชื่อเสียง มีผู้คนยอมรับนับถือ ทำอะไรก็ตามจะมีคนสนับสนุนส่งเสริมเป็นอย่างดี หากชีวิตมีเคราะห์ ก็จะผ่านพ้นและกลับมาพบกับความสำเร็จได้อีกครั้ง ชีวิตทั้งโลกนี้และโลกหน้าก็จะพบแต่ความสุขสดชื่นเสมอ
26.การทำบุญด้วยการถวายเชิงรองก้นบาตร
ผู้ที่ทำ บุญด้วยการถวายเชิงรองก้นบาตร จะได้รับอานิสงส์ในเรื่องของการมีคนอุปถัมภ์เกื้อหนุน ไม่ว่าจะเดินทางไปที่แห่งใดก็จะมีคนคอยแนะนำ ยามใดที่พลาดพลั้งก็ไม่มีวันที่อยู่โดดเดี่ยว เพื่อนและญาติมิตรจะอยู่ร่วมกันอย่างอบอุ่น คนรอบข้างจะเป็นคนที่ไว้ใจได้ เขาจะมอบแต่ความจริงใจให้และจะช่วยแบ่งเบาภาระของคุณได้เป็นอย่างดี นอกจากอานิสงส์ของการอุปถัมภ์แล้ว จะส่งผลให้ผู้ทำบุญจิตใจสงบ จะทำสิ่งใดก็คิดออกและเกิดความผิดพลาดน้อย
27.การทำบุญด้วยการสร้างศาลาโรงฉัน
ผู้ที่มี จิตศรัทธาทำบุญด้วยการสร้างศาลาโรงฉันถวายพระสงฆ์นั้น จะได้รับอานิสงส์ผลบุญทั้งชาตินี้และชาติหน้า คุณจะเป็นผู้พรั่งพร้อมสมบูรณ์ด้วยเครื่องอุปโภค บริโภคครบครัน ครั้นเกิดในชาติภพหน้าก็จะเกิดในตระกูลที่มั่งคั่ง ไม่มีวันที่จะตกต่ำ สุขภาพ ร่างกายจะแข็งแรง ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน จิตใจก็จะสมบูรณ์ ไม่มีเรื่องเดือดร้อนกายและใจ เมื่อร่างกายและจิตใจพร้อมแล้ว อายุของคุณก็จะยืนยาว อยู่เป็นหัวหน้าครอบครัวจนประสบความสำเร็จสูงสุดได้อย่างง่ายดาย
ชีวิตของผู้ที่ทำบุญด้วยวิธีนี้นั้น จะคิดอ่านทำสิ่งใดก็ไม่มีอุปสรรคเลย ซึ่งนับเป็นอานิสงส์ที่ยิ่งใหญ่อย่างยิ่ง
28.การทำบุญด้วยรัดประคด
ผู้ที่ทำ บุญด้วยการถวายรัดประคดแด่พระสงฆ์ จะเป็นผู้ที่ได้รับอานิสงส์ในเรื่องของความมั่นคงทั้งทางจิตใจ ที่ไม่หลงในทางผิดและร่างกายที่พร้อมด้วยฐานะที่เจริญรุ่งเรือง จะเป็น ผู้ที่มีความน่าเชื่อถือ คำพูดมีความศักดิ์สิทธิ์ ผู้คนพร้อมที่จะยอมรับคำแนะนำต่างๆ นอกจากนี้จะมีความสมบูรณ์ในเรื่องของญาติมิตร และบริวารที่เป็นคนดี และอยู่กันด้วยความซื่อสัตย์และจริงใจต่อกัน
ในเรื่อง ของสติปัญญา จะเป็นผู้ที่มีสมาธิดีมาก และไหวพริบปฏิภาณเหนือผู้อื่น อนาคตจะได้เป็นใหญ่เป็นโต มั่งคั่งด้วยเกียรติและศักดิ์ศรี
29.การทำบุญด้วยการสนับสนุนศึกษาพระธรรม
ผู้ที่ทำ บุญด้วยการสนับสนุนศึกษาพระธรรม จะได้รับอานิสงส์อันยิ่งใหญ่ ส่งเสริมให้การศึกษาหาความรู้ไร้อุปสรรค ได้รับการสนับสนุนจากคนรอบข้างในทุกๆ ทาง และจะประสบความสำเร็จอย่างมากหากมีความตั้งใจจริง เป็นคนที่ทำความดีขึ้น และเห็นผลทันตา คนรอบข้างไม่กล้าคิดร้าย
อานิสงส์ นี้จะส่งผลให้สุขภาพแข็งแรง ไม่ป่วยเป็นโรคร้าย มีชีวิตยามแก่ที่สุขสบาย เพราะจะมีบุตรหลานบริวารที่รักใคร่รายล้อมและไม่เจอกับปัญหาให้ต้องวิตก
30.การทำบุญด้วยการปิดทององค์พระ
ผู้ที่ทำ บุญด้วยการปิดทององค์พระ จะเป็นผู้ที่ได้รับอานิสงส์ผลบุญทางด้านทรัพย์ ถือได้ว่าจะมีความมั่งคั่ง รวยทรัพย์ หยิบจับอะไรก็ทำให้เป็นเงินเป็นทองได้อย่างง่ายดาย อานิสงส์นี้จะทำให้เป็นที่ยกย่องของบุคคลรอบข้าง เจ้านายก็รักใคร่ชื่นชอบ ทำอะไรจะดูดีไปทุกๆ ด้านเหมือนแสงทองอันรุ่งโรจน์ จะมีรูปงาม สวยสะดุดตา เป็นที่น่านับถือและรักใคร่ ดูมีสง่าราศี ในชาติหน้าก็จะเป็นใหญ่เป็นโต ไม่พบเจอผู้ที่คิดร้ายด้วย
31.การทำบุญด้วยการถวายบาตร
ผู้ที่ทำ บุญด้วยการถวายบาตรแด่พระสงฆ์ จะได้รับอานิสงส์อันแรงกล้า กล่าวคือความเป็นอยู่จะมั่งคั่ง มีชีวิตสมบูรณ์พูนสุข ปรารถนาสิ่งใดก็จะได้โดยไม่ต้องลงแรงมาก ยามที่พบกับอุปสรรค ก็จะพบกับทางแก้ หรือมีที่พึ่งเข้ามาอยู่เสมอ อันตรายไม่มากล้ำกราย คิดทำ สิ่งใดมีความหนักแน่น และมีความพยายามมากทำให้การนั้นๆ ส่งผลในทุกครา ไม่ค่อยพบกับความผิดหวังเท่าใด ตัดสินใจสิ่งใดจะมีแต่คนให้คำปรึกษาที่ดีอยู่เสมอ
32.ทำบุญด้วยการถวายผ้าปูลาด
ผู้ที่ทำ บุญด้วยการถวายผ้าปูลาดแด่พระสงฆ์ ผู้นั้นก็จะได้รับอานิสงส์ที่ยิ่งใหญ่ ทั้งลาภยศและชื่อเสียง ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งหรือฐานะใดก็จะเป็นที่นับหน้าถือตา มีบารมีเป็นที่ยำเกรงของบริวารและคนรอบข้าง มักเป็นที่พึ่งให้กับผู้อื่นได้ เพราะจะเป็นคนที่มีพื้นฐานความคิดอ่านดี และมีความรอบคอบ ผู้ที่ได้รับอานิสงส์นี้จะไม่ตกต่ำ แม้เกิดมาอย่างไม่มีทรัพย์สมบัติ ก็จะสร้างขึ้นได้เองไม่ยากนัก
33.การทำบุญด้วยเข็มเย็บผ้า
ผู้ที่ทำบุญด้วยเข็มเย็บผ้า จะได้รับอานิสงส์ผลบุญส่งให้คุณเป็นผู้ที่มีปัญญาเฉียบแหลม คิดจะทำการใดก็สัมฤทธิ์ผลเป็นอย่างดี แม้ในยาม เกิดอุปสรรคก็จะมีผู้ที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ประกอบกับปัญญาที่เหนือผู้อื่น จึงสามารถผ่านพ้นอุปสรรคได้อย่างง่ายดาย ใครก็ตามที่คิดจะทำร้ายจะได้รับผลกรรมอันเจ็บปวด แต่ด้วยความที่เป็นคนมีจิตใจดี จึงมักจะรู้จักให้อภัย และได้มิตรเพิ่มขึ้นตลอดเวลา
34.การทำบุญด้วยสายโยก
ผู้ที่ทำ บุญด้วยการถวายสายโยกแด่พระสงฆ์ จะได้รับอานิสงส์ผลบุญในเรื่องของการเป็นผู้มีสติตั้งมั่นไม่หวั่นไหวไปกับ สิ่งต่างๆ รอบตัว ทำสิ่งใดก็ตามจะไม่ประมาท แล้วจะรู้จักพิจารณาไตร่ตรองอย่างละเอียดถี่ถ้วน จึงเป็นไปได้ยากที่จะเกิดการผิดพลาด นอกจากนี้ยังได้รับการรักใคร่เอ็นดูจากญาติมิตรทั้งหลายอย่างจริงใจ และสามารถพึ่งพาอาศัยกันได้เป็นอย่างดี
35.การทำบุญด้วยน้ำยาดับกลิ่นปาก
การทำบุญด้วยน้ำยาดับกลิ่นปาก จะได้รับอานิสงส์ผลบุญในส่วนของการมีสุขภาพฟันที่แข็งแรง ไม่มีทางที่จะมีปัญหาในช่องปาก นอกจาก นี้ยังมีพรสวรรค์ในเรื่องของการใช้คำพูด จะมีวาจาที่ไพเราะน่าฟังอย่างยิ่ง พูดจามักจะน่าเชื่อถือ และหากจะเอาดีในเรื่องของอาชีพที่เกี่ยวกับการพูดก็จะยิ่งดีมาก เช่น นักการทูต หรือการค้าขายต่างๆ จะประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ชื่อ เสียงต่างๆ ก็จะเป็นที่รู้จักโด่งดัง มีแต่คนรัก และอยากรู้จักเป็นมิตรด้วยทั้งสิ้น การทำบุญด้วยสิ่งนี้จะเป็นการสร้างเสน่ห์ให้กับชีวิตโดยตรง
36.การทำบุญด้วยกระดาษทราย
อานิสงส์ ของการทำบุญด้วยกระดาษทรายนั้น จะน้อมนำให้ชีวิตของผู้ทำบุญยั่งยืน อยู่เป็นมิ่งขวัญของลูกหลานและวงศ์ตระกูลไปนานแสนนาน เรื่องโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ก็ไม่มาเบียดเบียน สุขภาพสมบูรณ์ทั้งกายและใจ หากใครคิดจะทำร้ายก็จะแพ้ภัยไปเอง เพราะคุณจะเป็นคนที่มีจิตใจบริสุทธิ์ปราศจากกิเลสตัณหาทั้งปวง และมักจะเป็นผู้คิดดีทำดีอยู่เสมอ
37.การทำบุญด้วยการสร้างพระไตรปิฎก
ผู้ที่ทำ บุญด้วยการสร้างพระไตรปิฎกแด่พระสงฆ์ จะได้รับอานิสงส์ผลบุญทั้งในชาตินี้และชาติหน้า จะเป็นผู้มีสติปัญญาดี เป็นผู้นำให้กับบุคคลอื่นอยู่เสมอ คิดอ่านสิ่งใดก็ไม่ค่อยผิดพลาด ความจำดี
ด้านการงาน ก็จะเป็นที่นับหน้าถือตา เป็นเจ้าคนนายคน ถึงพร้อมด้วยบริวารรายล้อมรอบกาย
ถึงแม้จะเป็นหญิงก็จะได้เป็นใหญ่ ผู้ที่ทำบุญด้วยการถวายพระไตรปิฎกนี้ มักเป็นนักวิชาการหรือเกี่ยวข้องกับงานใหญ่หากเจออุปสรรค ก็จะเห็นทางออกอยู่เบื้องหน้า ไม่ต้องนั่งกลุ้มหรือไปปรึกษาใคร
38.การทำบุญด้วยการถวายผ้าคลุมองค์พระ
ผู้ที่ทำ บุญด้วยการถวายผ้าคลุมองค์พระแด่พระสงฆ์ จะได้รับอานิสงส์ที่ยิ่งใหญ่ในด้านความเป็นอยู่ จะพรั่งพร้อมไปด้วยอาภรณ์เครื่องประดับ มีเครื่องใช้ไม้สอยสะดวกสบาย
สุขภาพร่างกายแข็งแรง มีผิวพรรณงามสะดุดตา เป็นที่ต้องตาต้องใจของผู้ที่พบเห็น จะเป็นที่รักใคร่ของเจ้านาย ผู้บังคับบัญชา บุตรหลานบริวารจะเกรงใจ เป็นที่นับหน้าถือตาของคนในสังคม อานิสงส์ผลบุญนี้จะส่งผลให้มีชีวิตที่สุขสบาย
39.การทำบุญด้วยการถวายเสา
ผู้ที่ทำ บุญด้วยการถวายเสาแด่พระสงฆ์ จะได้รับอานิสงส์ผลบุญที่ยิ่งใหญ่ กล่าวคือในด้านความเป็นอยู่ก็จะสุขสบายถึงขนาดเป็นที่พึ่งให้กับผู้อื่นได้ มีเงินทองมากมายไม่ขาดมือ อาชีพการงานก็มั่นคง ไม่ว่าจะหยิบจับหรือคิดเริ่มการใดก็ไม่ค่อยพบกับอุปสรรค เพราะมีรากฐานที่มั่นคง สุขภาพร่างกาย ถึงจะเจ็บไข้ก็จะหายพลัน และจะเจ็บป่วยได้ยากกว่าผู้อื่น ด้านความคิดอ่าน ก็จะเป็นคนมีสติ ไม่ว่าจะตัดสินใจอะไรก็จะทำได้อย่างรอบคอบ มีความหนักแน่นและมั่นคง
40.การทำบุญด้วยการถวายยารักษาโรค
ผู้ ที่ทำบุญด้วยการถวายยารักษาโรคแด่พระสงฆ์ จะได้รับอานิสงส์ในเรื่องของสุขภาพอย่างมาก จะเป็นผู้ที่ไม่ต้องประสบกับโรคร้าย เจ็บไข้เล็กน้อยก็จะไม่กล้ำกราย จะมีอายุยืน การเดินทางจะไร้อุปสรรค หากพบพานความติดขัดก็จะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เพราะจะมีที่พึ่งเข้ามาอยู่เสมอ อันตรายมักจะหนีหาย สำหรับ ผู้ที่ทำบุญด้วยการถวายยารักษาโรค ทำสิ่งใดก็จะได้รับความเมตตาจากคนรอบข้าง หากไปไหว้วานขอความช่วยเหลือจากใคร เขาก็จะเต็มใจช่วยเหลือเป็นอย่างยิ่ง
ขอบคุณที่มา เว็บบอร์ด พลังจิต เเละ http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=21306
อานิสงส์ผลบุญจากการทำบุญแบบต่างๆ
1.การทำบุญด้วยการถวายจีวร
ผู้ที่ทำ บุญด้วยการถวายจีวรแด่พระสงฆ์ จะได้รับอานิสงส์ที่ยิ่งใหญ่ จะเป็นผู้ที่พร้อมด้วยเสื้อผ้า อาภรณ์ และเครื่องประดับ มีแต่ผู้คนให้ความเคารพยกย่อง มีเกียรติ เป็นที่ยอมรับของคนทุกหมู่เหล่าเมื่อใดก็ตามจะต้องพบกับความมีอุปสรรค อุปสรรคนั้นจะผ่านพ้นไปด้วยดี ภยันตรายอื่นๆ อย่างสัตว์มีพิษและของมีคมต่างๆ ก็ทำร้ายไม่ได้ อานิสงส์ที่จะเกิดขึ้นในชาติหน้า จะเกิดมาเป็นผู้ที่มีความเพียบพร้อมด้วยหน้าตาที่งดงาม และสติปัญญาที่น่านับถืออย่างยิ่ง
2.การทำบุญด้วยการถวายเตียงนอน
ผู้ที่ทำ บุญด้วยการถวายเตียงนอนแด่พระสงฆ์ จะได้รับอานิสงส์ผลบุญในเรื่องของความเป็นอยู่ที่สุขสบาย จะได้นอนหลับในที่ที่อุ่นในยามหนาว เย็นสบายในช่วงฤดูร้อน ในเรื่อง ของสุขภาพก็มักจะไม่เจ็บป่วยง่าย ร่างกายแข็งแรงหากคิดจะเอาดีทางด้านการกีฬา ก็จะโด่งดังในระดับโลก เพราะจะเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ในด้านนี้มาก เมื่อชีวิตเข้าสู่วัยชรา ก็จะมีลูกหลานมาดูแล ไม่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว นับว่าสบายตั้งแต่เกิดจนตาย
3.การทำบุญด้วยการถวายหมอน
ผู้ที่ทำ บุญด้วยการถวายหมอน จะได้รับอานิสงส์ในเรื่องของการเป็นผู้ที่มีความอดทนอดกลั้นเหนือผู้อื่น หากอยู่ในการแข่งขันจะเป็นบุคคลที่สร้างความกดดันให้แก่คู่ต่อสู้อย่างมาก ทำการงานใดก็จะสำเร็จ เพราะไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยหรือท้อแท้ง่าย อีกทั้งหากจะทำการงานใดก็จะมีคนคอยอุปถัมภ์ค้ำชูอยู่เสมอ
4.การทำบุญด้วยยาดม ยานัตถุ์
ผู้ที่ทำ บุญด้วยยาดม หรือยานัตถุ์ จะได้รับอานิสงส์ผลบุญส่งให้เป็นผู้ปลอดภัยจากโรคเกี่ยวกับจมูกทั้งปวง จะได้รับรส และกลิ่นที่งดงามอย่างกลิ่นของพระธรรม เกียรติยศ ชื่อเสียงต่างๆ จะขจรขจายไปทั่ว จนผู้คนต่างพากันชื่นชมในคุณงามความดีที่คุณได้สั่งสมเอาไว้ บริวารต่างพากันเคารพ และคอยปกป้องไม่ให้ได้รับอันตราย จึงเป็นผู้ที่ได้รับการปกป้องเป็นอย่างดีจากผู้อื่น
5.การทำบุญด้วยร่ม
ผู้ที่ทำ บุญด้วยการถวายร่ม จะได้รับอานิสงส์ส่งผลให้ชีวิตมีแต่ความร่มเย็นเป็นสุข แม้ในยามที่ตกทุกข์ชะตาดับ ก็จะเกิดปาฏิหาริย์กลายเป็นดีได้ในทุกครั้ง
นอกจาก นี้ยังเป็นผู้อุดมด้วยบุญบารมี แผ่ขยายไปทั่วจนเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้ผู้อื่นได้ด้วย จึงมีแต่คนเคารพนับถือ และยอมรับในความกรุณาอย่างดียิ่ง ในบั้นปลายชีวิตก็จะพบแต่ความสุขที่แท้จริง ไม่ต้องอยู่โดดเดี่ยวแน่นอน
6.การทำบุญด้วยไม้กลอนประตู
ผู้ที่ทำบุญด้วยการถวายไม้กลอนประตู จะได้รับอานิสงส์ส่งผลให้เป็นผู้ที่มีความกล้าหาญในทุกๆ เรื่อง จึงได้รับโอกาสดีๆ อยู่เสมอ จะได้รับ การปกป้องคุ้มครองเป็นอย่างดีจากคนรอบข้าง ไม่ต้องทุกข์กาย ทุกข์ใจ ชีวิตจะสุขสบายตั้งแต่เกิดจนตาย เพราะหนทางโรยด้วยกลีบกุหลาบอยู่แล้ว นับว่าเป็นความโชคดีอย่างมาก
7.การทำบุญด้วยน้ำมันนวด
ผู้ที่ทำ บุญด้วยการถวายน้ำมันนวด จะได้รับอานิสงส์ผลบุญทำให้เป็นผู้ที่พรั่งพร้อมไปด้วยบริวารที่คอย ปรนนิบัติพัดวีอย่างใกล้ชิด หากจะทำสิ่งใดก็จะมีที่ปรึกษา ส่งเสริมทั้งกำลังกาย ใจ สติปัญญาและกำลังทรัพย์ ส่วนการ เจ็บไข้โดยเฉพาะอาการปวดเมื่อยต่างๆ จะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน จะเป็นผู้ที่มีกำลังวังชาดี หากจะเป็นนักกีฬา ก็จะโด่งดังระดับโลก หรือหากจะรับราชการทหารหรือตำรวจก็น่าสนับสนุนส่งเสริม เพราะจะได้เป็นผู้บัญชาการอย่างรวดเร็ว
8.การทำบุญด้วยพัด
ผู้ที่ทำ บุญด้วยพัด จะได้รับผลบุญในเรื่องของสุขภาพกายและใจที่แข็งแรง ชีวิตจะมีเรื่องสบายใจ ลูกหลานก็เป็นคนดีมีศีลธรรม ไม่สร้างเรื่องทุกข์กาย ทุกข์ใจใดๆ ให้เลยแม้แต่น้อย เกียรติยศและชื่อเสียงจะโด่งดัง และมีแต่คนยอมรับนับถือจำนวนมาก ในโลกหน้าก็จะพบแต่ความสุขสำราญกายใจเช่นชาตินี้
9.การทำบุญด้วยรองเท้า
ผู้ที่ทำบุญด้วยรองเท้า จะเป็นผู้ที่ได้รับอานิสงส์ของการเป็นผู้มีบริวารมาก จะมีคนคอยให้ความช่วยเหลือและยกย่องเชิดชูเป็นอย่างดี ในเรื่อง ของโรคเกี่ยวกับเท้าก็หมดไป ไม่มีปัญหาเรื่องนี้ และหากจะท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ ก็ทำได้ง่าย ถึงจุดหมายอย่างปลอดภัยเพราะจะได้เป็นนักเดินทางที่มีชื่อเสียง ตลอดการเดินทางก็จะได้เรียนรู้ และศึกษาสิ่งต่างๆ เสมอ จะเป็นผู้ที่มีประสบการณ์สูงมากคนหนึ่ง
10.การทำบุญด้วยกุญแจ
ผู้ที่ทำบุญด้วยกุญแจจะเป็นผู้ที่มีความเจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน คิดอะไรก็แตกฉาน ไม่มีปัญหาอะไรที่แก้ไขไม่ได้หากคิดจะทำ อีกทั้ง ชีวิตยังมีแต่ความปลอดภัย ภยันตรายก็ไม่กล้ามากล้ำกรายอย่างแน่นอน ส่วนในชาติหน้าก็จะเกิดเป็นผู้ที่มีชื่อเสียง เป็นที่รู้จักทั่วทั้งแผ่นดิน
11.การทำบุญด้วยการถวายที่ดิน
ผู้ที่ทำ บุญด้วยการถวายที่ดินแด่พระสงฆ์ นับว่าเป็นการสร้างบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ จะได้เป็นใหญ่เป็นโต เป็นผู้ปกครองแผ่นดินหรือบริหารประเทศ ความที่ เป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่จึงมีคนพากันยกย่องสรรเสริญจำนวนมาก ในเรื่องของความมั่นคงทางกายและใจ ไม่มีปัญหาอะไรเลยเพราะเป็นผู้ที่หนักแน่น ทำการใดก็เจริญและได้รับการยอมรับอยู่ตลอด จะมีความสุขทั้งชีวิตเลยทีเดียว
12.การทำบุญด้วยการทำความสะอาดเจดีย์
ผู้ที่ทำ บุญด้วยการทำความสะอาดเจดีย์ นับว่าได้รับอานิสงส์ที่ยิ่งใหญ่เช่นกัน เพราะจะทำให้ชีวิตมีแต่ความสงบราบรื่น คิดจะทำสิ่งใดก็ไร้อุปสรรค หากตายไปแล้วก็จะได้ไปจุติในแดนสวรรค์ มีผู้คนและบริวารห้อมล้อมและปรนนิบัติตลอด นับว่าจะได้รับอานิสงส์นี้ทุกชาติๆ ไปเลยทีเดียว
จิตใจนั้นก็ค่อนข้างดีงาม พ้นจากกิเลส ใครๆ ก็อยากอยู่ใกล้เสมอ เพราะมีแต่ความเมตตานั่นเอง
13.การทำบุญด้วยการถวายไม้เท้าค้ำยัน
ผู้ที่ทำ บุญด้วยการถวายไม้เท้าค้ำยันแด่พระสงฆ์ ผลบุญนี้จะทำให้ได้รับความสบายใจในการครองชีวิต ไม่ต้องพบเจอกับปัญหาอุปสรรค จะมีคนคอยปกป้องรักษาให้แคล้วคลาดจากภยันตรายต่างๆ
จะมีลูกก็จะพึ่งพิงได้ ลูกจะดี ไม่นำเรื่องหนักใจมาให้ จะเป็นคน ที่มีชีวิตที่มั่นคง เหมือนไม้เท้าคอยค้ำยันไว้ กล้าหาญในการทำกิจต่างๆ ทำให้คนรอบข้างที่คิดร้ายหวาดกลัวและพ่ายแพ้ไปในที่สุด โดยส่วนใหญ่แล้วผลบุญนี้จะส่งผลให้เป็นคนดวงแข็ง
14.การทำบุญด้วยการไหว้พระพุทธรูปด้วยจิตศรัทธา
ผู้ที่ทำบุญด้วยการไหว้พระพุทธรูปด้วยจิตที่ศรัทธานั้นจะได้รับอานิสงส์ คือ อานิสงส์นี้จะไปเสริมดวงให้เป็นที่เคารพนับถือ ชีวิตครอบครัวก็จะสุขสบาย เป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงและน่าสรรเสริญ
ปราศจากศัตรูที่คิดร้าย คนคิดร้ายก็จะสำนึกในความดีต่างๆ แล้วพ่ายแพ้ไป เส้นทางชีวิตมีแต่ความสุข สงบ พบเจอแต่เรื่องดีๆ ในชีวิต จะมีสติดี ทำให้ประสบความสำเร็จในเรื่องที่หวังได้ง่าย
15.การทำบุญด้วยดอกไม้ ธูปเทียน
ผู้ที่ทำ บุญด้วยการถวายดอกไม้ ธูปเทียน จะได้รับอานิสงส์ผลบุญในส่วนของการมีสติปัญญาที่ฉลาดปราดเปรื่อง รู้จักแก้ไขปัญหาจัดการเรื่องต่างๆ กับชีวิตของตนได้เป็นอย่างดี หากคิดจะวางแผนก็เป็นนักวางแผนตัวสำคัญ ในเรื่องของรูปร่างหน้าตาก็สง่างาม เป็นหญิงอย่างกุลสตรี เป็นชายก็สมชายชาตรี ใครเห็นก็รักใคร่ชอบพอกันทุกคน ส่วนใหญ่ แล้วอานิสงส์นี้จะผลักดันให้ผู้ที่ทำบุญพบกับความสำเร็จ ชื่อเสียงโด่งดัง จนเป็นที่ยอมรับของคนทุกเพศทุกวัย นับเป็นบุญกุศลที่สูงส่งยิ่ง
16.การทำบุญด้วยกรรไกรตัดเล็บ
ผู้ที่ทำ บุญด้วยกรรไกรตัดเล็บนั้น จะได้รับผลบุญส่งให้ชีวิตของคุณพบกับความบริสุทธิ์ ปราศจากความเศร้าหมองใดๆ อันตรายต่างๆ ที่จะเข้าใกล้ก็จะไม่กล้ำกราย ชีวิตจะมีแต่ความสุข อานิสงส์นี้ยังส่งผลถึงครอบครัวให้ได้รับความสุขมากขึ้นด้วย นอกจาก นี้ยังจะเป็นผลดีในส่วนของการได้รับความช่วยเหลือเกื้อกูลจากผู้ใหญ่ที่เขา เอ็นดูคุณเป็นอย่างดี ในยามที่ตกต่ำ ไม่นานจะกลับมามีชีวิตสดใสได้ทุกครั้ง นับว่าเป็นบุคคลที่โชคดีมากคนหนึ่ง
17.การทำบุญด้วยการถวายมีดโกน
ผู้ที่ทำ บุญด้วยการถวายมีดโกนแด่พระภิกษุสงฆ์ อานิสงส์ที่ได้รับจะส่งผลต่อการดำรงชีวิต เพราะจะเป็นผู้ที่มีสมาธิ ทำสิ่งต่างๆ ได้อย่างละเอียดรอบคอบ จะเป็นผู้ที่ขยันขันแข็ง ไม่ยุ่งเกี่ยวกับอบายมุขทั้งหลาย ทำให้ประสบความสำเร็จในบั้นปลาย สุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยได้ง่ายๆ มีจิตใจที่ผ่องแผ้ว สุขทั้งกายและใจ อุปสรรคที่ต้องเผชิญก็มลายหาย
18.การทำบุญด้วยการถวายตะเกียง
ผู้ที่ทำ บุญด้วยการถวายตะเกียงแด่พระสงฆ์จะได้รับอานิสงส์ที่ยิ่งใหญ่ จะเป็นผู้ที่มีชีวิตที่ราบรื่น เหมือนมีไฟส่องทางให้ ทำให้ไม่พบเจอปัญหาหรืออุปสรรคที่ยากจะผ่านไปได้ การเรียนหรือการทำงานก็จะเป็นเลิศ เพราะสติปัญญาดีมาก หัวไว และแก้ปัญหาต่างๆ ได้ดี แม้ศึกษาธรรมก็จะรู้ได้อย่างแตกฉาน เป็นผู้ที่วางตัวดี คนรอบข้างเคารพและเชื่อถือในคำพูด ทำดีจะเห็นผลเร็ว มีชีวิตที่รุ่งโรจน์ไม่มีตก
19.ทำบุญด้วยการถวายตู้ใส่พระไตรปิฎก
ผู้ที่ทำ บุญด้วยการถวายตู้ใส่พระไตรปิฎก จะได้รับอานิสงส์ผลบุญอย่างมากมายในเรื่องของความพร้อมด้านรูปโฉม และความเจริญทางด้านสติปัญญา จะเป็นผู้ที่มีไหวพริบ ชาญฉลาด สามารถหาทางออกที่ดีให้กับชีวิตได้ตลอด ความงดงามทางรูปร่างหน้าตา ทำให้เป็นคนที่มีเสน่ห์ เป็นที่รักและชื่นชมของคนทั่วไป นอกจากนี้แล้วการทำบุญด้วยวิธีนี้ จะช่วยส่งเสริมให้ชีวิตของคุณไม่โดดเดี่ยว จะมีคนมาอยู่ใกล้ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนฝูงหรือว่าญาติ ทั้งในยามทุกข์และสุข จะไม่มีวันตกต่ำอย่างแน่นอน นับว่าการทำบุญด้วยวิธีนี้ เป็นกุศลที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งทีเดียว
20.การทำบุญด้วยการสร้างพระพุทธรูป
ผู้ที่ทำ บุญด้วยการสร้างพระพุทธรูป ให้เป็นที่สักการบูชาจะเป็นผู้ที่ได้รับอานิสงส์ที่ยิ่งใหญ่มาก เพราะไม่ว่าจะเกิดในชาติใดก็ตาม จะเป็นผู้ที่พร้อมด้วยทรัพย์ สติปัญญา และรูปโฉม
ทำสิ่งใด ก็ตามจะมีบริวาร ผู้คอยช่วยเหลือ และสนับสนุนเป็นอย่างดียิ่ง ในด้านของจิตใจนั้น จะเป็นผู้ที่มีจิตใจดีงาม ยึดมั่นในหลักธรรมคำสอนเป็นอย่างดี หากเป็นผู้นำในเรื่องใดก็จะสำเร็จและพาลูกน้องพบกับความสุขได้เสมอ การวางแผนก็จะเป็นนักคิดที่แยบคาย รู้ทันเหตุการณ์ต่างๆ เป็นอย่างดี อานิสงส์นี้จะทำให้คุณใช้ชีวิตสุขสบายอย่างมาก
21.การทำบุญด้วยการสร้างกุฏิ
ผู้ที่ทำ บุญด้วยการสร้างกุฏิถวายแด่พระสงฆ์ จะได้รับอานิสงส์กลับคืนมาในเรื่องของความเป็นอยู่ จะมีชีวิตที่สุขสบายไม่ลำบาก ครอบครัวก็จะรักใคร่ปรองดองกัน มีความมั่นคงในชีวิต
ด้านร่างกาย ก็จะเป็นผู้ที่มีความรู้ดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเรียนทางด้านใดก็จะเรียนรู้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
บุคคลที่คิดร้ายก็จะต้องแพ้ภัยตนเอง จะปลอดภัยจากสัตว์ร้ายและอาวุธต่างๆ มีอายุยืนยาว
22.การทำบุญด้วยการบูรณะพระพุทธรูป
ผู้ที่ทำ บุญด้วยการบูรณะพระพุทธรูปแด่พระสงฆ์ จะได้รับอานิสงส์อันแรงกล้า สุขภาพแข็งแรง ไม่เจ็บป่วย ร่างกายสมบูรณ์ครบอาการ 32 ผิวพรรณงามเปล่งปลั่ง ไม่แก่เร็ว ความเป็นอยู่ดี มั่งคั่ง ทำมาค้าขึ้น มักจะได้ลาภลอยอยู่บ่อยๆ ไปไหนก็มักจะเป็นที่ต้องตาต้องใจของผู้พบเห็น ใครเห็นใครก็รัก พูดจาอะไรก็จะเป็นที่เชื่อถือ เป็นที่นับหน้าถือตา ชาติหน้าก็จะเป็นผู้ที่สวยทั้งรูปกายและรูปสมบัติ
23.การทำบุญด้วยการถวายภาชนะต่างๆ
ผู้ที่ทำ บุญด้วยการถวายภาชนะต่างๆ แด่พระภิกษุสงฆ์ บุคคลผู้นั้นจะได้รับอานิสงส์ที่ยิ่งใหญ่ ชีวิตพรั่งพร้อมไปด้วยบริวาร มีแต่คนอาสาที่จะช่วยเหลือ หากประสบปัญหาใดก็ตาม บริวารจะเป็นที่รับฟังและเป็นที่ปรึกษาที่ดีอย่างยิ่ง ในการติดต่อ เจรจา จะประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เพราะเป็นผู้ที่มีทักษะในการพูดเป็นเลิศ เรียนด้านใดก็มักจะได้ดีกว่าผู้อื่น หัวไว และมีพรสวรรค์ในทุกๆ ด้าน เมื่อมุ่งไปทางใดแล้วก็จะทำได้ดี ยามแก่เฒ่าก็จะมีคนดูแล ชีวิตไม่ขัดสน
24.การทำบุญด้วยการสร้างสะพาน
ผู้ที่ทำ บุญด้วยการสร้างสะพาน จะได้รับอานิสงส์ในผลบุญนั้นอย่างสูงส่ง คือในยามยาก็มีผู้เข้ามาช่วยเหลือ จะมีแต่คนหยิบยื่นน้ำใจให้อยู่เสมอ เป็นที่รักของคนรอบข้าง การงานก็จะมีความมั่นคง ถึงเริ่มกระทำสิ่งใดไม่นาน ก็จะมีผู้ใหญ่เห็นความตั้งใจ และหยิบยื่นตำแหน่งหน้าที่ที่สูงขึ้นให้
ชีวิตครอบครัวก็เหมือนกับสะพาน ซึ่งแข็งแกร่ง มั่นคง อานิสงส์นี้ส่งผลให้เห็นทางสว่างทุกครั้งที่มืดมนเหมือนมีคนมาชี้ทางให้
25.การทำบุญด้วยการบูชาพระบรมสารีริกธาตุ
ผู้ที่ทำ บุญด้วยการบูชาพระบรมสารีริกธาตุ จะเป็นผู้ที่ได้รับอานิสงส์อย่างแรงกล้า การบูชาพระบรมสารีริกธาตุ ถือเป็นการบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อานิสงส์ผลบุญดังกล่าวจะส่งผลให้ผู้ที่ทำบุญด้วยวิธีนี้มีอำนาจ บุญวาสนามีสูง ทำการงานก็สำเร็จเจริญก้าวหน้าอย่างไร้อุปสรรค
ชีวิตของ คุณจะมีชื่อเสียง มีผู้คนยอมรับนับถือ ทำอะไรก็ตามจะมีคนสนับสนุนส่งเสริมเป็นอย่างดี หากชีวิตมีเคราะห์ ก็จะผ่านพ้นและกลับมาพบกับความสำเร็จได้อีกครั้ง ชีวิตทั้งโลกนี้และโลกหน้าก็จะพบแต่ความสุขสดชื่นเสมอ
26.การทำบุญด้วยการถวายเชิงรองก้นบาตร
ผู้ที่ทำ บุญด้วยการถวายเชิงรองก้นบาตร จะได้รับอานิสงส์ในเรื่องของการมีคนอุปถัมภ์เกื้อหนุน ไม่ว่าจะเดินทางไปที่แห่งใดก็จะมีคนคอยแนะนำ ยามใดที่พลาดพลั้งก็ไม่มีวันที่อยู่โดดเดี่ยว เพื่อนและญาติมิตรจะอยู่ร่วมกันอย่างอบอุ่น คนรอบข้างจะเป็นคนที่ไว้ใจได้ เขาจะมอบแต่ความจริงใจให้และจะช่วยแบ่งเบาภาระของคุณได้เป็นอย่างดี นอกจากอานิสงส์ของการอุปถัมภ์แล้ว จะส่งผลให้ผู้ทำบุญจิตใจสงบ จะทำสิ่งใดก็คิดออกและเกิดความผิดพลาดน้อย
27.การทำบุญด้วยการสร้างศาลาโรงฉัน
ผู้ที่มี จิตศรัทธาทำบุญด้วยการสร้างศาลาโรงฉันถวายพระสงฆ์นั้น จะได้รับอานิสงส์ผลบุญทั้งชาตินี้และชาติหน้า คุณจะเป็นผู้พรั่งพร้อมสมบูรณ์ด้วยเครื่องอุปโภค บริโภคครบครัน ครั้นเกิดในชาติภพหน้าก็จะเกิดในตระกูลที่มั่งคั่ง ไม่มีวันที่จะตกต่ำ สุขภาพ ร่างกายจะแข็งแรง ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน จิตใจก็จะสมบูรณ์ ไม่มีเรื่องเดือดร้อนกายและใจ เมื่อร่างกายและจิตใจพร้อมแล้ว อายุของคุณก็จะยืนยาว อยู่เป็นหัวหน้าครอบครัวจนประสบความสำเร็จสูงสุดได้อย่างง่ายดาย
ชีวิตของผู้ที่ทำบุญด้วยวิธีนี้นั้น จะคิดอ่านทำสิ่งใดก็ไม่มีอุปสรรคเลย ซึ่งนับเป็นอานิสงส์ที่ยิ่งใหญ่อย่างยิ่ง
28.การทำบุญด้วยรัดประคด
ผู้ที่ทำ บุญด้วยการถวายรัดประคดแด่พระสงฆ์ จะเป็นผู้ที่ได้รับอานิสงส์ในเรื่องของความมั่นคงทั้งทางจิตใจ ที่ไม่หลงในทางผิดและร่างกายที่พร้อมด้วยฐานะที่เจริญรุ่งเรือง จะเป็น ผู้ที่มีความน่าเชื่อถือ คำพูดมีความศักดิ์สิทธิ์ ผู้คนพร้อมที่จะยอมรับคำแนะนำต่างๆ นอกจากนี้จะมีความสมบูรณ์ในเรื่องของญาติมิตร และบริวารที่เป็นคนดี และอยู่กันด้วยความซื่อสัตย์และจริงใจต่อกัน
ในเรื่อง ของสติปัญญา จะเป็นผู้ที่มีสมาธิดีมาก และไหวพริบปฏิภาณเหนือผู้อื่น อนาคตจะได้เป็นใหญ่เป็นโต มั่งคั่งด้วยเกียรติและศักดิ์ศรี
29.การทำบุญด้วยการสนับสนุนศึกษาพระธรรม
ผู้ที่ทำ บุญด้วยการสนับสนุนศึกษาพระธรรม จะได้รับอานิสงส์อันยิ่งใหญ่ ส่งเสริมให้การศึกษาหาความรู้ไร้อุปสรรค ได้รับการสนับสนุนจากคนรอบข้างในทุกๆ ทาง และจะประสบความสำเร็จอย่างมากหากมีความตั้งใจจริง เป็นคนที่ทำความดีขึ้น และเห็นผลทันตา คนรอบข้างไม่กล้าคิดร้าย
อานิสงส์ นี้จะส่งผลให้สุขภาพแข็งแรง ไม่ป่วยเป็นโรคร้าย มีชีวิตยามแก่ที่สุขสบาย เพราะจะมีบุตรหลานบริวารที่รักใคร่รายล้อมและไม่เจอกับปัญหาให้ต้องวิตก
30.การทำบุญด้วยการปิดทององค์พระ
ผู้ที่ทำ บุญด้วยการปิดทององค์พระ จะเป็นผู้ที่ได้รับอานิสงส์ผลบุญทางด้านทรัพย์ ถือได้ว่าจะมีความมั่งคั่ง รวยทรัพย์ หยิบจับอะไรก็ทำให้เป็นเงินเป็นทองได้อย่างง่ายดาย อานิสงส์นี้จะทำให้เป็นที่ยกย่องของบุคคลรอบข้าง เจ้านายก็รักใคร่ชื่นชอบ ทำอะไรจะดูดีไปทุกๆ ด้านเหมือนแสงทองอันรุ่งโรจน์ จะมีรูปงาม สวยสะดุดตา เป็นที่น่านับถือและรักใคร่ ดูมีสง่าราศี ในชาติหน้าก็จะเป็นใหญ่เป็นโต ไม่พบเจอผู้ที่คิดร้ายด้วย
31.การทำบุญด้วยการถวายบาตร
ผู้ที่ทำ บุญด้วยการถวายบาตรแด่พระสงฆ์ จะได้รับอานิสงส์อันแรงกล้า กล่าวคือความเป็นอยู่จะมั่งคั่ง มีชีวิตสมบูรณ์พูนสุข ปรารถนาสิ่งใดก็จะได้โดยไม่ต้องลงแรงมาก ยามที่พบกับอุปสรรค ก็จะพบกับทางแก้ หรือมีที่พึ่งเข้ามาอยู่เสมอ อันตรายไม่มากล้ำกราย คิดทำ สิ่งใดมีความหนักแน่น และมีความพยายามมากทำให้การนั้นๆ ส่งผลในทุกครา ไม่ค่อยพบกับความผิดหวังเท่าใด ตัดสินใจสิ่งใดจะมีแต่คนให้คำปรึกษาที่ดีอยู่เสมอ
32.ทำบุญด้วยการถวายผ้าปูลาด
ผู้ที่ทำ บุญด้วยการถวายผ้าปูลาดแด่พระสงฆ์ ผู้นั้นก็จะได้รับอานิสงส์ที่ยิ่งใหญ่ ทั้งลาภยศและชื่อเสียง ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งหรือฐานะใดก็จะเป็นที่นับหน้าถือตา มีบารมีเป็นที่ยำเกรงของบริวารและคนรอบข้าง มักเป็นที่พึ่งให้กับผู้อื่นได้ เพราะจะเป็นคนที่มีพื้นฐานความคิดอ่านดี และมีความรอบคอบ ผู้ที่ได้รับอานิสงส์นี้จะไม่ตกต่ำ แม้เกิดมาอย่างไม่มีทรัพย์สมบัติ ก็จะสร้างขึ้นได้เองไม่ยากนัก
33.การทำบุญด้วยเข็มเย็บผ้า
ผู้ที่ทำบุญด้วยเข็มเย็บผ้า จะได้รับอานิสงส์ผลบุญส่งให้คุณเป็นผู้ที่มีปัญญาเฉียบแหลม คิดจะทำการใดก็สัมฤทธิ์ผลเป็นอย่างดี แม้ในยาม เกิดอุปสรรคก็จะมีผู้ที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ประกอบกับปัญญาที่เหนือผู้อื่น จึงสามารถผ่านพ้นอุปสรรคได้อย่างง่ายดาย ใครก็ตามที่คิดจะทำร้ายจะได้รับผลกรรมอันเจ็บปวด แต่ด้วยความที่เป็นคนมีจิตใจดี จึงมักจะรู้จักให้อภัย และได้มิตรเพิ่มขึ้นตลอดเวลา
34.การทำบุญด้วยสายโยก
ผู้ที่ทำ บุญด้วยการถวายสายโยกแด่พระสงฆ์ จะได้รับอานิสงส์ผลบุญในเรื่องของการเป็นผู้มีสติตั้งมั่นไม่หวั่นไหวไปกับ สิ่งต่างๆ รอบตัว ทำสิ่งใดก็ตามจะไม่ประมาท แล้วจะรู้จักพิจารณาไตร่ตรองอย่างละเอียดถี่ถ้วน จึงเป็นไปได้ยากที่จะเกิดการผิดพลาด นอกจากนี้ยังได้รับการรักใคร่เอ็นดูจากญาติมิตรทั้งหลายอย่างจริงใจ และสามารถพึ่งพาอาศัยกันได้เป็นอย่างดี
35.การทำบุญด้วยน้ำยาดับกลิ่นปาก
การทำบุญด้วยน้ำยาดับกลิ่นปาก จะได้รับอานิสงส์ผลบุญในส่วนของการมีสุขภาพฟันที่แข็งแรง ไม่มีทางที่จะมีปัญหาในช่องปาก นอกจาก นี้ยังมีพรสวรรค์ในเรื่องของการใช้คำพูด จะมีวาจาที่ไพเราะน่าฟังอย่างยิ่ง พูดจามักจะน่าเชื่อถือ และหากจะเอาดีในเรื่องของอาชีพที่เกี่ยวกับการพูดก็จะยิ่งดีมาก เช่น นักการทูต หรือการค้าขายต่างๆ จะประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ชื่อ เสียงต่างๆ ก็จะเป็นที่รู้จักโด่งดัง มีแต่คนรัก และอยากรู้จักเป็นมิตรด้วยทั้งสิ้น การทำบุญด้วยสิ่งนี้จะเป็นการสร้างเสน่ห์ให้กับชีวิตโดยตรง
36.การทำบุญด้วยกระดาษทราย
อานิสงส์ ของการทำบุญด้วยกระดาษทรายนั้น จะน้อมนำให้ชีวิตของผู้ทำบุญยั่งยืน อยู่เป็นมิ่งขวัญของลูกหลานและวงศ์ตระกูลไปนานแสนนาน เรื่องโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ก็ไม่มาเบียดเบียน สุขภาพสมบูรณ์ทั้งกายและใจ หากใครคิดจะทำร้ายก็จะแพ้ภัยไปเอง เพราะคุณจะเป็นคนที่มีจิตใจบริสุทธิ์ปราศจากกิเลสตัณหาทั้งปวง และมักจะเป็นผู้คิดดีทำดีอยู่เสมอ
37.การทำบุญด้วยการสร้างพระไตรปิฎก
ผู้ที่ทำ บุญด้วยการสร้างพระไตรปิฎกแด่พระสงฆ์ จะได้รับอานิสงส์ผลบุญทั้งในชาตินี้และชาติหน้า จะเป็นผู้มีสติปัญญาดี เป็นผู้นำให้กับบุคคลอื่นอยู่เสมอ คิดอ่านสิ่งใดก็ไม่ค่อยผิดพลาด ความจำดี
ด้านการงาน ก็จะเป็นที่นับหน้าถือตา เป็นเจ้าคนนายคน ถึงพร้อมด้วยบริวารรายล้อมรอบกาย
ถึงแม้จะเป็นหญิงก็จะได้เป็นใหญ่ ผู้ที่ทำบุญด้วยการถวายพระไตรปิฎกนี้ มักเป็นนักวิชาการหรือเกี่ยวข้องกับงานใหญ่หากเจออุปสรรค ก็จะเห็นทางออกอยู่เบื้องหน้า ไม่ต้องนั่งกลุ้มหรือไปปรึกษาใคร
38.การทำบุญด้วยการถวายผ้าคลุมองค์พระ
ผู้ที่ทำ บุญด้วยการถวายผ้าคลุมองค์พระแด่พระสงฆ์ จะได้รับอานิสงส์ที่ยิ่งใหญ่ในด้านความเป็นอยู่ จะพรั่งพร้อมไปด้วยอาภรณ์เครื่องประดับ มีเครื่องใช้ไม้สอยสะดวกสบาย
สุขภาพร่างกายแข็งแรง มีผิวพรรณงามสะดุดตา เป็นที่ต้องตาต้องใจของผู้ที่พบเห็น จะเป็นที่รักใคร่ของเจ้านาย ผู้บังคับบัญชา บุตรหลานบริวารจะเกรงใจ เป็นที่นับหน้าถือตาของคนในสังคม อานิสงส์ผลบุญนี้จะส่งผลให้มีชีวิตที่สุขสบาย
39.การทำบุญด้วยการถวายเสา
ผู้ที่ทำ บุญด้วยการถวายเสาแด่พระสงฆ์ จะได้รับอานิสงส์ผลบุญที่ยิ่งใหญ่ กล่าวคือในด้านความเป็นอยู่ก็จะสุขสบายถึงขนาดเป็นที่พึ่งให้กับผู้อื่นได้ มีเงินทองมากมายไม่ขาดมือ อาชีพการงานก็มั่นคง ไม่ว่าจะหยิบจับหรือคิดเริ่มการใดก็ไม่ค่อยพบกับอุปสรรค เพราะมีรากฐานที่มั่นคง สุขภาพร่างกาย ถึงจะเจ็บไข้ก็จะหายพลัน และจะเจ็บป่วยได้ยากกว่าผู้อื่น ด้านความคิดอ่าน ก็จะเป็นคนมีสติ ไม่ว่าจะตัดสินใจอะไรก็จะทำได้อย่างรอบคอบ มีความหนักแน่นและมั่นคง
40.การทำบุญด้วยการถวายยารักษาโรค
ผู้ ที่ทำบุญด้วยการถวายยารักษาโรคแด่พระสงฆ์ จะได้รับอานิสงส์ในเรื่องของสุขภาพอย่างมาก จะเป็นผู้ที่ไม่ต้องประสบกับโรคร้าย เจ็บไข้เล็กน้อยก็จะไม่กล้ำกราย จะมีอายุยืน การเดินทางจะไร้อุปสรรค หากพบพานความติดขัดก็จะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เพราะจะมีที่พึ่งเข้ามาอยู่เสมอ อันตรายมักจะหนีหาย สำหรับ ผู้ที่ทำบุญด้วยการถวายยารักษาโรค ทำสิ่งใดก็จะได้รับความเมตตาจากคนรอบข้าง หากไปไหว้วานขอความช่วยเหลือจากใคร เขาก็จะเต็มใจช่วยเหลือเป็นอย่างยิ่ง
ขอบคุณที่มา เว็บบอร์ด พลังจิต เเละ http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=21306
Tuesday, March 8, 2016
บทสวดพระมหาจักรพรรดิเบิกบุญ-แผ่เมตตา
บทสวดพระมหาจักรพรรดิ
และเบิกบุญ-แผ่เมตตา
1. บทนมัสการพระพุทธเจ้า
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
2. บทบูชาพระรัตนตรัย บิดามารดา ครูอาจารย์
อะระหัง สัมมาสัมพุทโธภะคะวา พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ...(กราบพระพุทธเจ้า)สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ธัมมัง นะมัสสามิ…(กราบพระธรรม)สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สังฆังนะมามิ…(กราบพระสงฆ์)มาตาปิตุคุณัง อะหังวันทามิ…(กราบบิดามารดา)ครูอุปัชฌา อาจาริยัง อะหังวันทามิ…(กราบครูอาจารย์)เทวานัง อะหังวันทามิ (กราบเทวดา)
3. (บทอิติปิโส)
พระพุทธคุณ
อิติปิโสภะคะวา อะระหังสัมมาสัมพุธโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทูอะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธภะคะวาติ ฯ
พระธรรมคุณ
สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโกปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ ฯ
พระสังฆคุณ
สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆอาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเณยโย อัญชะลีกะระณีโย อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ ฯ
4. อาราธนาศีล 5
มะยัง( อะหัง= ตนเอง) ภันเต วิสุงวิสุง รักขะนัตถายะ ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะสีลานิยาจามะทุติยัมปิ มะยังภันเต วิสุงวิสุง รักขะนัตถายะ ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะสีลานิยาจามะตะติยัมปิ มะยังภันเต วิสุงวิสุง รักขะนัตถายะ ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะสีลานิยาจามะ
1. ปาณาติปาตา เวระมณีสิกขาปะทัง สะมาทิยามิ........ (ขอละเว้นจากการฆ่าสัตว์)
2. อะทินนาทานา เวระมณีสิกขาปะทัง สะมาทิยามิ.....(ขอละเว้นจากการลักทรัพย์ผู้อื่นมาเป็นของตน)
3. กาเมสุมิจฉาจารา เวระมณีสิกขาปะทัง สะมาทิยามิ...(ขอละเว้นการประพฤติผิดในกามฯ)
4. มุสาวาทา เวระมณีสิกขาปะทัง สะมาทิยามิ..............(ขอละเว้นจากการพูดเท็จ หลอกลวงผู้อื่น)
5. สุราเมระยะมัชชะปะมา ทัฎฐานา เวระมณีสิกขาปะทัง สะมาทิยามิ..(ขอละเว้นจากสุราของมึนเมา)
บทนมัสการพระพุทธเจ้า
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ 3 จบ
ราลึกถึงหลวงปู่ดู่ แล้ว อาราธนาดังนี้ นะโม โพธิสัตโต พรหม-มะ ปัญโญ 3 จบ
5. บทสวดพระคาถามหาจักรพรรดิ (ขณะสวดให้กาพระผงของหลวงปู่ดู่ไปด้วย)
นะโมพุทธายะ พระพุทธะ ไตรรัตนะญาณมณีนพรัตน์ สีสะหัสสะ สุธรรม-มาพุทโธ ธัมโม สังโฆ ยะธาพุทโมนะพุทธะบูชา ธัมมะบูชา สังฆะบูชาอัคคีทานัง วะรังคันธัง สีวลี จะ มหาเถรังอะหังวันทามิ ทูระโต อะหังวันทามิ ธาตุโย อะหังวันทามิ สัพพะโสพุทธะ ธัมมะ สังฆะ ปูเชมิ ........ (สวด 5 จบ)
แล้วอาราธนาแผ่บุญดังนี้
6. ข้าพเจ้า.....ขอตั้งจิตอธิษฐาน..อาราธนาพระบารมีรวมแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ ตั้งแต่สมเด็จองค์ปฐมบรมมหาจักรพรรดิ พุทธมหาราชา ..จนถึงสมเด็จพระพุทธเจ้า สมณะโคดม บรมครู และ พระศรีอารยะเมตไตร เป็นประธาน ..บารมีรวมพระปัจเจกพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์เจ้า คุณพระธรรม คุณพระอริยะสงฆ์ ทุกๆพระองค์ โดยมีบารมีของหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ และ หลวงตาม้า เป็นที่สุด
ขอหลวงปู่ดู่พรหม-มะปัญโญ ได้โปรดรวมพระบารมีทั้งหมดทั้งมวลนี้ น้อมส่งไปยัง ภพภูมิต่างๆ ตลอด 3 แดนโลกธาตุ อันประกอบด้วย เทวาและพรหมโลกเบื้องสูงทุกชั้น ...มนุษย์ภูมิเบื้องกลาง และอบายภูมิเบื้องล่าง และนาส่งโดยเฉพาะให้แก่ ข้าพเจ้า
ชื่อ.............................................คุณบิดามารดาและบรรพบุรุษของข้าพเจ้า..........คุณครูบาอาจารย์ของข้าพเจ้า........เทวาที่รักษากายและจิตของข้าพเจ้า...ญาติมิตรของข้าพเจ้า ..คู่ครองของข้าพเจ้า....เจ้าที่เคหะสถานที่ข้าพเจ้าอาศัยอยู่ ......บุตร บริวาร..............ของข้าพเจ้า รวมถึงเจ้าบุญนายคุณ-- เจ้ากรรมนายเวรของข้าพเจ้าทุกรูปทุกนาม สรรพสัตว์ทั้งหลาย
**ขอเชิญร่วมอนุโมทนารับบุญที่ส่งให้นี้ด้วยเทอญ ..และโดยเฉพาะการนี้ ขอหลวงปู่ดู่พรหม-มะปัญโญ ได้โปรดรวมพระบารมีทั้งหมดทั้งมวลนี้ และกองบุญของข้าพเจ้าทุกชาติ เบิกมาใช้เพื่อ.. รักษากายและจิตของข้าพเจ้า และ (เอ่ยชื่อ-สกุลคนที่จะช่วย)...................................ให้หายจากอาการเจ็บป่วยที่เป็นอยู่ มีอายุยืนยาว ร่างกายสมบูรณ์ทั้ง 32 ประการ ปลอดภัยจากภัยอันตรายทั้งปวง อุดมด้วยเดช โภคะ ปัญญา ชนะศัตรูหมู่มารทั้งปวง พบเจอแต่กัลยาณมิตร ไปสู่ภพภูมิที่ดี และ พบมรรคผลนิพพาน ทั้งในปัจจุบันและอนาคตกาลเบื้องหน้าทุกชาติเทอญ ฯ*** จากนั้น ให้สวดบทสัพเพ ฯ และ บท อธิษฐาน ดังนี้ .....
7. บทสัพเพฯ(ขณะสวดบทสัพเพ-ให้กาหนดเป็นภาพพลังงานบุญ และหลวงปู่ดู่ ส่งมาให้ตัวเรา)
สัพเพพุทธา สัพเพธัมมา สัพเพสังฆาพะลัป ปัตตา ปัจเจกานัญจะ ยัง พลังอะระหัน ตานัญจะ เตเชนะ รักขัง พันธามิ สัพพะโส (สวด 5จบ)
8. บทอธิษฐาน (ให้อธิฐานจิต กาหนดให้พลังงานบุญ ส่งไปให้ทุกคน)
พุทธัง อธิษฐามิ ธัมมัง อธิษฐามิ สังฆัง อธิษฐามิ (สวด 5 จบ)
-------การแผ่บุญนี้ท่านจะใช้กรวดน้าแผ่บุญที่ทาก็ได้ -------อานิสงค์ การสวดบท พระคาถามหาจักพรรดิพระคาถามหาจักรพรรดินี้ หลวงปู่ดู่ พรหม มะ ปัญโญ เป็นผู้เรียบเรียง ฯเป็นการสวดเพื่อบูชา คุณพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ รวมถึงพระธรรมเจ้า พระโพธิสัตว์เจ้า พระอริยะสงฆ์ และพระสงฆ์สาวกทั้งมวล เป็นการบูชาพระพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์ในภัทรกัปป์ (ปัจจุบัน) อีกทั้งยังเป็นการอัญเชิญ พระบารมีแห่งคุณพระพุทธเจ้าทั้ง 5พระองค์ ได้แก่ ...
นะ..........พระกะกุสันโธพุทธเจ้า
โม..........พระโกนาคมโนพุทธเจ้า
พุท.........พระกัสสะโปพุทธเจ้า
ธา..........พระศรีศากยมุนีโคตโมพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน)
ยะ.........พระศรีอริยะเมตไตยโยพุทธเจ้า
รวมถึง บารมีแห่งพระโพธิญาณของพระโพธิสัตว์เจ้าทุกๆ พระองค์ น้อมนากาลังของเทพ พรหม พระอริยะเจ้าทั้งหลาย เป็นการอาราธนาบารมีแห่งคุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ ครูบาอาจารย์ เทพ และพรหม อัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์รวมเข้าที่กายและจิตของผู้สวด เพื่อคุ้มครองป้องภัย และเสริมโชคลาภบารมีของผู้สวด
**การสวดครั้งหนึ่ง มีอานิสงค์แผ่ไปทั่วจักรวาล ตลอดสามแดนโลกธาตุ สามารถแผ่ปรับภพภูมิแก่สรรพสัตว์ ตลอดจนเทวดาประจาตัว ญาติมิตรครอบครัว เจ้ากรรมนายเวร และหากนาบทสวดนี้ไปแผ่ในนรก ไฟนรกจะดับลงชั่วขณะ นอกจากนี้การสวดบทพระคาถามหาจักรพรรดินี้ ยังเป็นการสร้างกาแพงแก้วคุ้มกันตัวแก่ผู้สวดอีกด้วย
**บทพระคาถามหาจักรพรรดินี้ มีพลังงานบุญมากมาย เหมาะอย่างยิ่งที่จะใช้สวดขณะนั่งสมาธิ กรรมฐาน เพราะจะก่อให้เกิดกระแสพุทธานุภาพครอบคลุมและคุมการปฏิบัติสมาธิของเรา และสามารถใช้อธิฐานเรื่องราวใดที่มีข้อติดขัด เรื่องร้ายทั้งหมด ทาให้ผ่านพ้นไปด้วยดี นามาซึ่งความเจริญแก่ผู้สวดทั้งทางโลกและทางธรรม...สาธุฯ
พลังผลบุญที่ได้จาก คาถาพระมหาจักรพรรดิอ่านต่อได้ที่นี้ครับ
ขอบคุณที่มา บทสวดจาก
รุ่งนภาพยากรณ์ (www.rungnapa-astro.com) 089-120-5288
Subscribe to:
Posts (Atom)